พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครทำอัศจรรย์ในนามของเรา
แล้วต่อมาจะว่าร้ายเราได้
ผู้ใดไม่ต่อต้านเราก็เป็นฝ่ายเรา”
(มาระโก 9:39-40)
เมื่อยอห์นเห็นใครคนหนึ่งขับไล่ปีศาจในนามของพระเยซูเจ้า
เขาก็คงจะรู้สึกว่า คนๆนี้ไม่มีสิทธิ์ เพราะไม่ใช่คนใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า
ไม่ใช่พวกเดียวกับเขา ในขณะที่พระเยซูเจ้าทรงตักเตือน
ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในสายสัมพันธ์ของครอบครัวในพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน
ในสังคมปัจจุบัน เราก็พบอยู่เสมอกับคำว่าสิทธิ์เฉพาะพวกพ้องของตน
จนหลายครั้ง คนที่มีความสามารถแต่ขาดพวกพ้องก็ต้องยอมพ่ายแพ้ไป
พระเยซูเจ้าทรงตักเตือนเสมอในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในพระพรที่แตกต่างกันเพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน
เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันในสายสัมพันธ์แห่งพระจิตเจ้า
มีศัพท์ประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า
"POWER OF UNITY" หรือ "พลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียว"
ซึ่งมีการแปลความหมายของคำว่า “ความเป็นหนึ่งเดียว” ไว้ว่า
ความเป็นหนึ่งเดียว คือ ความกลมกลืนในตนเอง
และความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลภายในกลุ่ม
ผ่านการยอมรับและเห็นคุณค่าในพระพรความแตกต่างของสมาชิกแต่ละคน
ซึ่งมีผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ของตน
ความหมายของการเป็นหนึ่งเดียวกันตรงข้ามกับความแตกแยก
อันเกิดจากความไม่เคารพในสิทธิของกันและกัน
ไม่เคารพต่อบทบาทหน้าที่ของผู้อื่น มีสายตาที่พร้อมจะควบคุมผู้อื่น
และหลายครั้งมันเกิดจากความอิจฉาในความโดดเด่นของผู้อื่นด้วยเช่นกัน
โมเสสตอบว่า “ท่านอิจฉาแทนเราหรือ เราปรารถนาจะให้องค์พระผู้เป็นเจ้า
ประทานพระจิตของพระองค์แก่ประชากรทั้งปวง
และให้เขาทุกคนเป็นประกาศกด้วย”
(กันดารวิถี 11:29)
เมื่อกล่าวถึงความอิจฉา ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายคนก็เคยผ่านประสบการณ์นี้มาเช่นกัน
แต่อาจจะไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกว่าอิจฉาอย่างชัดเจน
เป็นความรู้สึกภายในที่เมื่อเราเห็นผู้อื่นดีกว่าเรา
หรือผู้อื่นได้รับการยอมรับมากกว่าเรา
ข้าพเจ้าเองก็เคยรู้สึกเช่นนั้น แต่พระก็ทรงตักเตือนข้าพเจ้า
โดยให้ข้าพเจ้าฝึกที่จะยินดีกับผู้อื่นเมื่อเขาได้ดี ประสบความสำเร็จในชีวิต
การปรับทัศนคติและความคิดนี้ทำให้ข้าพเจ้าพบว่าเมื่อเรายกย่องเชิดชูผู้อื่น
เราก็จะได้รับการยกย่องเชิดชู และได้รับการยอมรับเช่นกัน
ใจที่อิ่มเอมไปด้วยความยินดีนั้นยิ่งใหญ่กว่าใจที่ผอมโซไปด้วยความอิจฉา
มีบทความหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า ความอิจฉาเป็นอารมณ์ประเภทหนึ่ง
ที่ผู้ที่เกิดอารมณ์นี้มักไม่ยอมรับว่าตนกำลังอิจฉา
และความอิจฉาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เราสามารถควบคุมและกำจัดมันได้
ด้วยการยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคล
ในขณะที่เรายอมรับและชื่นชมผู้อื่นในพระพรที่พวกเขามี
เราก็ต้องฝึกที่จะยินดีและมั่นใจในพระพรที่ตนมีด้วยเช่นกัน
และที่สำคัญยิ่ง ความอิจฉายังแสดงให้เราเห็นว่า
เราไม่พึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา
ดังนั้นแล้ว เมื่อเรายอมรับและยินดีในความแตกต่างของกันและกัน
เราภูมิใจในพระพรที่ตนมีและมั่นใจในพระพรนั้น
ความอิจฉาก็ไม่สามารถเข้ามาแทนที่ความรู้สึกของเราได้อีกต่อไป
และความเป็นหนึ่งเดียวกันก็จะเจริญงอกงามในใจเราทุกคน
ให้ความรัก รวมเรา เป็นหนึ่งเดียว
ความกลมเกลียว เกี่ยวใจ ให้เป็นหนึ่ง
ทะลายแรง อิจฉา ที่รัดดึง
รู้จักพึง พอใจ ในตนเอง
รู้ยอมรับ ความแตกต่าง ระหว่างคน
รู้เพิ่มผล พระพร ก่อนข่มเหง
ฝึกพอใจ ในพระพร ของตนเอง
รับความเก่ง ที่แตกต่าง ระหว่างกัน
..................................... |