พระนางมารีย์ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้า
ประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ลูกา 1:46)
ในเวลาที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทะนงตนในวังวนของคำชื่นชม
ภาพความสุภาพนบนอบถ่อมตนของพระแม่มารีย์
ก็ฉายแสงสว่างส่องใจของฉันให้รู้สึกละอายในถ้อยคำชื่นชมที่ได้รับมายิ่งนัก
พระแม่มารีย์ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย สุภาพ และเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตารัก
แบบอย่างของบุคคลผู้มีความรัก ความเชื่อในพระเจ้าหลายท่าน
ก็ล้วนเป็นพระเมตตารักที่พระเจ้าทรงชี้นำให้ฉันได้สัมผัส เรียนรู้ ไตร่ตรอง
อีกท่านหนึ่ง...นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา
ท่านเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความรักและการรับใช้ด้วยใจสุภาพนบนอบเช่นกัน
ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกกล่าวถึงจากผู้ผลิตสารคดี
โดยเขาได้นำเรื่องราวของท่านไปนำเสนอในภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างเป็นภาพลบ
ท่านไม่ถือโทษโกรธแต่กลับกล่าวว่า
“มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะตัดสินใจว่าคุณต้องการจะดำรงชีวิตอยู่แบบไหน
แต่สำหรับฉัน ฉันจะทำงานของฉันต่อไป
ฉันปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เราควรจะยิ้มรับและก้มหน้าทำงานของเราต่อไป
การทำงานด้วยใจถ่อมสุภาพจะไม่มีอะไรมาแผ้วพานเราได้เลย
ไม่ว่าใครจะยกย่องหรือเหยียดหยามเรา ไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ
เพราะเราย่อมรู้จักตัวเราดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
ฉันเรียนรู้ภารกิจของท่านนักบุญผ่านวีดีทัศน์ บทความ และอื่นๆ
มันก็เป็นแค่เพียงการอ่าน การดู แต่ฉันก็ยังไม่ได้ลิ้มรสสัมผัสที่แท้จริง
ที่ต้องนำชีวิตตนเข้าไปอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด ท่ามกลางเชื้อโรค
ความอ่อนล้า ความเสี่ยงต่อโรคภัย และความยากแค้นแสนเข็ญ
การถูกต่อต้าน เบียดเบียน การต่อสู้เพื่อผู้ต่ำต้อยอย่างไม่ย่อท้อ
และในวันที่ท่านนักบุญได้รับคำชื่นชม ท่านก็มิได้หลงทะนองตนอยู่กับคำชื่นชมนั้น
ทุกคำชื่นชมท่านยกให้เป็นเพราะพระเมตตาของพระเจ้าเสมอมา
เมื่อย้อนกลับมาไตร่ตรองดูกิจการของตนเอง
ภารกิจที่เทียบความหนักหนาสาหัสไม่ได้เลยแม้สักเสี้ยวเดียวของท่านนักบุญ
ฉันก็ยังสามารถแบ่งเวลาไปใช้ในการพร่ำบ่น โต้เถียง ต่อลองกับภารกิจเพียงเล็กน้อย
และเมื่อได้รับคำชื่นชม ฉันก็ยังรับไว้ด้วยความเบิกบานใจ
แต่ความรู้สึกเบิกบานใจนั้น หากมีมากเกินไป
บางทีมันก็จะกลับกลายเป็นความจองหอง หลงทะนงตนไปเสีย
ดังนั้นแล้ว แบบอย่างชีวิตของผู้เชื่อหลายท่าน
จึงเป็นเสมือนกรอบชีวิตฝ่ายจิตของฉัน
ที่จะคอยตี เตือนสอนฉันไม่ให้จิตเตลิดหลงทะนงตนไปไกลว่าตนนั้นดีเด่นกว่าใคร
มีคุณสมบัติของชาวประมงข้อหนึ่งในฐานะที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกชาวประมงเป็นศิษย์
ชาวประมงต้องรู้จักการซ่อนตัวไม่ให้เหยื่อเห็นและเตลิดหนีไป
เหมือนกับการที่จะเป็นศิษย์พระคริสต์
ก็มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนตัวเองเพื่อนำเสนอพระเยซูเจ้าให้ชัดเจน
เพราะการนำเสนอพระเยซูเจ้านั้น จะไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแน่นอน
ในขณะที่หากนำเสนอตนเองซึ่งสวมความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแออยู่นี้
อย่างไรก็ต้องมีสิ่งผิดพลาด
ครั้งหนึ่ง ศิษย์สาวตัวน้อยของฉันกล่าวแก่ฉันว่า
“ครูขา หนูอยากนับถือศาสนาคริสต์เหมือนครูค่ะ”
สิ่งหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้คือ การยึดตัวคนเป็นหลักในการเลือก ไม่ใช่ยึดพระเจ้า
ฉันกล่าวแก่ศิษย์สาวตัวน้อยว่า
“หากหนูต้องการเรียนรู้จักพระเจ้า หนูต้องยึดพระเจ้าให้มั่น ไม่ใช่ครูที่เป็นมนุษย์
เพราะเมื่อใดที่ครูทำผิดพลาด หนูจะผิดหวัง และหนูก็จะทิ้งพระเจ้าไป
แต่ถ้าหนูยึดพระเจ้าไว้ให้มั่น หนูจะไม่ผิดหวังเลย
แม้จะต้องเผชิญความทุกข์ยากในชีวิต
หรือต้องเผชิญกับบุคคลที่ทำให้หนูผิดหวังก็ตาม”
“ฟังเถิด ธิดาเอ๋ย จงดูและตั้งใจฟัง
จงลืมชาติของท่าน และบ้านบิดาของท่านเถิด
พระราชาจะทรงหลงรักความงามของท่าน
พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายของท่าน
จงน้อมกายเคารพพระองค์เถิด”
(สดุดี 45:10-11)
ภายใต้ปีกของความถ่อมตน
คือผู้คนที่ทุกข์ยากแสนเข็ญ
ช่วงเวลาที่พระเจ้าต้องชัดเจน
และโดดเด่นอยู่ในใจของผู้คน
ฉันเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นน้อย
ที่ต่ำต้อยคอยนำความรักล้น
จากพระเจ้าสู่ใจของผู้คน
อิ่มกมลล้นรักแท้นั้นแน่นอน
..................................... |