“พี่น้อง จงอย่าทำให้พระจิตของพระเจ้าต้องเศร้าหมอง”
(เอเฟซัส 4:30)
“จงดำเนินชีวิตในความรักดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักเรา
และทรงมอบพระองค์เพื่อเรา
เป็นเครื่องบูชาที่มีกลิ่นหอมถวายแด่พระเจ้า”
(เอเฟซัส 5:2)
ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากในสังคมทั่วโลก
ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ความแตกแยกที่เกิดจากการคิดต่าง
ความต้องการเอาชนะกัน ความมั่นใจและทะนงว่าสิ่งที่ตนเลือกนั้นถูกต้องกว่า
การแสดงออกต่อสาธารณชนโดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา
ล้วนเป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ดูเหมือนว่า เรากำลังลืมไปแล้วว่าความงดงามของโลกและสิ่งสร้างอยู่ที่ใด
เพราะเรากำลังโฟกัสไปที่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ยากเหล่านั้น
หรือความต้องการเอาชนะกันก็ไม่อาจแน่ใจได้
น้อยคนที่จะนำแสงสว่างมาส่องในที่มืดมิด
เพราะเราต่างคิดว่า เรากำลังเดินในที่มืดมิด แล้วจะมีแสงสว่างได้อย่างไร
มีคนมากมายที่กำลังทุกข์ยากอย่างจริงจัง และกำลังตกอยู่ในภาวะมืดมิดที่จะไปต่อ
และก็มีอีกหลายคนที่อยู่ในภาวะพอเอาตัวรอดได้
แต่ก็รวมตัวเอง ตอกย้ำตัวเองให้เข้าไปในภาวะมืดมิดด้วย
แต่ก็ยังมีบุคคลอีกส่วนหนึ่งที่เป็นแสงสว่างสดใสให้คนรอบข้าง
แม้ตัวจะอยู่ในที่ที่มืดมิดก็เป็นแสงสว่างให้คนรอบข้างได้ดี
“อย่าทำให้พระจิตของพระเจ้าต้องเศร้าหมอง”
(เอเฟซัส 4:30)
พระวาจายังคงย้ำเตือนฉันถึงกิจการของน้องสาวคนหนึ่ง
ที่ทั้งครอบครัวต้องเผชิญกับโรคระบาดครั้งนี้
ฉันได้มีโอกาสอ่านข้อความบันทึกในเฟสของน้องคนนี้
ตั้งแต่รับรู้ว่าทั้งครอบครัวติดเชื้อแล้วทุกคน
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกได้รับพลังบวก ได้รับแสงสว่างสดใส
คือเรื่องราวที่น้องถ่ายทอดถึงความสวยงามเมื่อต้องเผชิญกับความเลวร้าย
การไม่โทษกันและกัน การดูแลให้กำลังใจกัน
การสร้างรอยยิ้มให้แก่กันในครอบครัว
ความอิ่มหมีพีมัน อยากกินก็กินในวันที่ต้องสู้กับโรคระบาดนี้
รวมไปถึงบันทึกชีวิตในโรงพยาบาลสนามที่น้องต้องเข้าไปใช้ชีวิตในนั้น
ในขณะที่สมาชิกบางคนต้องไปรักษาตัวในโรงพยาบาลตามอาการของโรค
น้องใช้พลังบวกในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้ามารบกวนชีวิตอย่างดี
จนสามารถผ่านมันมาได้ในทุกวันนี้
ไม่เฉพาะที่น้องผ่านมันมาได้เท่านั้น แต่บันทึกของน้อง
กลับเป็นแสงสว่าง เป็นพระพรของพระจิตเจ้าที่ส่องสว่างลงมายังคนอื่นๆด้วย
คนไม่ป่วยยังได้รับแสงสว่างจากคนป่วยด้วยซ้ำไป
ฉันสัมผัสได้ว่ากิจการของน้องคนนี้ช่างเป็นเครื่องบูชาที่มีกลิ่นหอมละมุน
ที่มอบถวายแด่พระเจ้าจริงๆ
ฉันจะเก็บเรื่องราวสวยงามนี้เอาไว้เป็นพลังชีวิต
และเรียนรู้ที่จะจุดแสงสว่างให้คนรอบข้าง
มากกว่าที่จะคอยดับแสงสว่างที่แสนจะริบหรี่ของผู้อื่นที่กำลังทุกข์ยาก
“จงลิ้มดูให้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดี
คนที่ลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ย่องเป็นสุข”
(สดุดี 34:8)
..................................... |