“ถ้าพระองค์พอพระทัย
พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้”
(มาระโก 1:40)
ความหวังของคนป่วยคือการหายจากอาการป่วยนั้นๆ
โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยหนักที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังที่จะหายจากโรคร้าย
ปัจจุบันโรคทางกายก็มากมี โรคทางใจก็ถาโถมเข้ามา
ทั้งๆที่ดูเหมือนว่าโลกของเราจะมีแต่การพัฒนาให้ก้าวล้ำไปเสียทุกอย่าง
ทั้งเทคโนโลยี การศึกษา การแพทย์หรือแม้กระทั่งการเกษตรที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ
ซึ่งดูเหมือนมนุษย์ใช้ความฉลาดของตนเอาชนะธรรมชาติ และอุบัติการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ผลิตสิ่งต่างๆมากมายเพื่อกระตุ้น เยียวยา รักษาสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
ให้คงอยู่ ให้ผ่านพ้น ให้พัฒนา ในก้าวล้ำ ให้พอเพียงสนองความต้องการของชีวิตมนุษย์เอง
แต่ก็น่าแปลก ในขณะที่มนุษย์กำลังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะครอบครองโลกได้
แต่ในทางกลับกันมนุษย์กับยิ่งพบปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย
ข้าพเจ้าได้อ่านบทความๆ หนึ่งกล่าวถึงโศกนาฏกรรมเงียบของบรรดาลูกหลานในอนาคตของเรา
ที่เยาวชนถูกหล่อหลอมภายใต้สื่อเทคโนโลยี และเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย
บทความกล่าวถึงอนาคตของเยาวชนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อครอบครัว
ความสัมพันธ์ที่แสดงออกผ่านความกตัญญูรู้คุณกำลังเสื่อมถอยลง
เยาวชนมีปัญหาด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้นทุกๆปี
สุขภาพกายที่ถูกทำลายลงด้วยสื่อเทคโนโลยีที่ตีกรอบให้ขาดการเคลื่อนไหวของร่างกาย
สุขภาพจิตที่ถูกบั่นทอนด้วยการแข่งขัน ห้ำหั่น
เอาชนะด้วยการล่ารางวัลเพื่อแสดงความเก่งของตนจนได้รับการยอมรับในสังคม
หรือแม้แต่การที่ผู้ปกครองดิ้นรนทำมาหากิน
สร้างตัวเงินจนลืมไปว่าลูกหลานของตนกำลังขาดแคลนสิ่งจำเป็นใดที่สำคัญกว่า
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า
“ผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันยอมให้เด็กปกครองโลกก่อนวัยอันสมควร”
ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่า พวกเขาสามารถได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า
การที่เราก้าวแบบสุดโต่ง วิ่งไปข้างหน้าแบบสุดตัว โดยไม่เหลียวหลังดูสิ่งดีๆในอดีต
และหยุดตัวเองให้เดินช้าๆไปพร้อมกับธรรมชาติเสียบ้าง
จะทำให้ชีวิตของเราขาดสมดุลจนเกิดอุบัติการณ์เลวร้ายในชีวิตอย่างที่เห็นทุกวันนี้
ข้าพเจ้าอยากกลับไปสู่รากเหง้าของตนเอง
ในขณะที่โลกกำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ข้าพเจ้าก็รู้ว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์ก็ปรารถนาจะกลับไปสู่พื้นฐานของชีวิตที่ติดอยู่กับธรรมชาติ
แต่ในเมื่อทุกคนกำลังก้าวไป แล้วทิ้งรากเหง้าของตนเองอย่างจำใจ
หรือบางที เยาวชนรุ่นใหม่บางคนอาจจะไม่เคยสัมผัสรากเหง้าชีวิตของตนที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำไป
ข้าพเจ้าขอบคุณพระเสมอที่ให้ข้าพเจ้าวนเวียน รายล้อมอยู่กับธรรมชาติ
แม้จะเข้ามาใช้ชีวิตในสังคมเมือง แต่พระเจ้าก็ทรงเมตตาข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้าได้มีพื้นที่เล็กๆสีเขียวไว้เยียวยาหัวใจในวันที่กายและใจข้าพเจ้าอ่อนล้า
มนุษย์พยายามผลิตวัคซีนรักษาโรคร้ายใหม่ๆที่เกิดขึ้น
มนุษย์พยายามผลิตสารเคมีเพื่อกำจัดศัตรูพืช ศัตรูชีวิตของมนุษย์มากมาย
แต่ยิ่งผลิต ยิ่งกำจัด สิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งพัฒนาตัวเอง และเลวร้ายรุนแรงมากยิ่งขึ้น
มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติ แต่ก็ไม่เคยชนะได้เลย
ข้าพเจ้าเคยคิดว่า ถ้าเราอยู่กับธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
แล้วเราจะต้องเอาชนะธรรมชาติเพื่ออะไร
ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวงจร มีวัฏจักรชีวิตของมันอย่างลงตัวตามที่พระเจ้าทรงสร้างมา
แต่ที่มันไม่ลงตัว เกิดการเหลื่อมล้ำเพราะมนุษย์ทำลายสมดุลนั้นลง
เมื่ออย่างหนึ่งลดลง อีกอย่างหนึ่งก็จะเพิ่มขึ้นมิใช่หรือ
ข้าพเจ้ามองดูพืชผลที่เจริญเติบโตในสวนน้อยๆเนื้อที่ 30 ตารางวาของข้าพเจ้า
ที่ผู้มีพระคุณในหมู่บ้านกรุณาแบ่งปันพื้นที่ให้สมาชิกลูกบ้าน
ได้มีช่วงเวลาคืนสู่ธรรมชาติ และรากเหง้าของตนบ้าง
แล้วเมื่อย้อนกลับไปดูลูกหลานของเราเองที่ร้อยละ 90 โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19
พวกเขาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ในห้อง หน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์
ในขณะที่ผู้ปกครองก็เหนื่อยล้าเกินจะไปดึงพวกเขาออกมาทำกิจกรรมอื่นๆได้
จึงไม่น่าแปลกเลยที่จะมีโศกนาฏกรรมเงียบเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของลูกหลานของเรา
ข้าพเจ้าจึงเฝ้าวอนขอพรพระเจ้าเพื่อการเยียวยารักษาทั้งสุขภาพกายและใจ
สำหรับเยาวชนรุ่นใหม่ผู้ที่ต้องรับผลอันเกิดจากการหล่อหลอมของผู้ใหญ่ในวันนี้
ให้พวกเขาได้รับการเยียวยารักษาอย่างถูกวิธี
ได้มองเห็นความจริงของชีวิต และรากเหง้าของตนในฐานะมนุษย์และส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
“พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย
จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า
“เราพอใจ จงหายเถิด” ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ”
(มาระโก 1:41-42)
เพราะพระองค์ ทรงเยียวยา เมตตาข้าฯ
ทรงรักษา กายจิต คิดสงสาร
แม้กายใจ ข้าฯหม่นดำ ทำรำคาญ
พระองค์หว่าน เมตตา มาเกื้อกูล
ข้าฯ ระลึก สำนึก โอ้บุญท่าน
พระผู้หว่าน ธารใจ ไม่เสื่อมสูญ
ชำระข้าฯ พาสู่ธรรม นำเพิ่มพูน
จิตจำรูญ จำเริญไป ในเส้นทาง |