““พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา
ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป
พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา”
(โยนาห์ 3:10)
แค่สำนึกในความผิดบาปที่ตนทำ
แค่มีความพยายามที่จะกลับใจในทุกๆครั้งที่พลาดพลั้งกระทำผิด
ไม่ดื้อรั้นดันทุรังอ้างคุณธรรมเพื่อกระทำในสิ่งที่ตนปรารถนา
ข้าพเจ้าก็แลเห็นและสัมผัสได้ถึงพระเมตตาของพระเจ้า
ที่พร้อมจะยกโทษความผิดพลาดที่มีใจสำนึกผิดอย่างแท้จริง
บรรดาธรรมาจารย์ผู้เคร่งครัดและเชี่ยวชาญในบทบัญญัติ ข้อกฎหมายต่างๆ
หลายครั้งก็ใช้ความเป็นผู้รู้ในการบิดเบือนตัวบทบัญญัติและหลักธรรมปฏิบัติ
เพื่อให้ตนพ้นผิดจากสิ่งที่ตนกระทำเพื่อเป็นไปตามที่ตนปรารถนา
ในขณะที่เขาสอนให้ผู้อื่นถ่อมใจลงแต่เขากลับยกตนให้สูงขึ้น
เหมือนดังที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า
“พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส
ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด
แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา
เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ"
(มัทธิว 23:2-3)
ในสมัยวัยรุ่นข้าพเจ้าเรียนรู้มาว่า ความรักเป็นสิ่งที่ดีและสวยงาม
ความรักกระทำคุณให้ เพราะพระเยซูเจ้าทรงสอนว่า
“ผู้ที่ไม่มีความรักก็ไม่มีค่าใดเลย”
แต่ ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้คุณธรรมที่แท้จริงในการแสดงออกซึ่งความรักนั้น
บิดเบือนข้อคำสอนที่ถูกต้องของพระเยซูเจ้า
เพื่อสนองความต้องการของตนเอง
จนกลายเป็นความรักทำให้ข้าพเจ้าตาบอด
มองไม่เห็นแม้ความผิดพลาดของสิ่งที่ตนกระทำลงไป
ปิดหูปิดตาแสร้งมองไม่เห็นความเลวร้ายของสิ่งที่เลือกกระทำ
แล้วสรุปว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันคือความรัก มันจึงไม่ผิด
ซึ่งความจริงแล้ว ข้อคำสอนก็กล่าวไว้ชัดเจนแต่ข้าพเจ้าปิดหูปิดตาที่จะรับรู้ว่า
“ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง
ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ
ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง
ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง”
(1โครินธ์ 13:4-7)
เสียงคำสอนของบิดาของข้าพเจ้าก็ดังแว่วขึ้นมาในวันที่ข้าพเจ้า
กำลังประพระพฤติตนบิดเบือนข้อคำสอนของพระเจ้า
“อย่าเป็นเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ในอดีต”
ข้าพเจ้าจึงพยายามไตร่ตรองพระวาจา
และใช้พระวาจาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
เป็นกรอบ เป็นตัวกำหนด และเป็นหลักยึดเหนี่ยวในวันที่ข้าพเจ้าหลงทาง
เมื่อใช้พระวาจาเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต
ข้าพเจ้าก็สมควรที่จะต้องระแวดระวังตัวเอง
ไม่ให้ตัวเองเป็นที่สะดุดในฐานะประจักษ์พยานของพระคริสต์
เพราะ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ารู้ว่า “การกระทำนั้น ดังกว่าคำพูด” แน่นอน
ในอดีตและอาจจะมีบางช่วงในปัจจุบันที่ข้าพเจ้าอาจจะยังหลงสิ่งของๆโลก
หลงอยู่ในวังวนความสุขสบายฝ่ายโลก
แต่กรอบคำสอนจะค่อยๆตะล่อมข้าพเจ้าให้กลับเข้าที่เข้าทาง
ไม่หลงเดินออกนอกเส้นทางไปไกลนัก
อย่างน้อย ก็ไม่หลงออกไปไกลจากพระเมตตาที่จะนำพาข้าพเจ้ากลับเข้ามา
ไม่กี่วันมานี้ ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวเกี่ยวกับสมาชิกบางท่านในพระศาสนจักร
ที่หลงออกนอกเส้นทางแห่งการเป็นประจักษ์พยานของพระเจ้า
กระทำตนเป็นที่สะดุดด้วยการสั่งสมทรัพย์สมบัติหรือใช้ทรัพย์สมบัติของโลกนี้
เพื่อปรนเปรอความสุขสบายของตน
โดยไม่นึกถึงการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขนั้น
การขอบริจาคทุนปัจจัยเพื่อผู้ทุกข์ยากเป็นสิ่งที่ดี
แต่ผู้รับบริจาคเมื่ออยู่กับตัวเงินย่อมต้องมีใจโน้มเอียงที่จะถูกความโลภเข้าครอบงำ
ข้าพเจ้าไม่โทษเจ้าความโลภเหล่านั้นที่ครอบงำตัวบุคคลนั้นๆ
แต่เป็นตัวบุคคลนั้นๆที่ต้องระแวดระวัง และไม่ทำอะไรในที่ลับ
เพราะความถูกต้องบางอย่างบนโลกนี้จะต้องอยู่ในที่แจ้งท่ามกลางพยานเสมอ
“ผู้ที่ใช้ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้
เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป”
(1 โครินธ์ 7:31)
ขอองค์พระเจ้า โปรดทรงปรานี
อภัยโทษข้าฯนี้ คืนชีวีให้
ข้าฯเป็นคนบาป หยาบช้าหลงไป
บนโลกกว้างใหญ่ หลงไกลใช่คืน
แสงสีสดสวย ร่ำรวยสุขสันต์
โลกกลืนชีวัน กลืนฝันเกินฝืน
ข้าฯแสนอ่อนแอ พ่ายแพ้กล้ำกลืน
พระเมตตาชุ่มชื่น คืนข้าฯสุขสราญ
..................................... |