“ดังนั้น จงใช้ร่างกายของท่าน
ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด”
(1โครินธ์ 6:20)
เด็กสาวคนหนึ่งป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
สิ่งที่เธอกระทำในยามที่เธอรู้สึกคับข้องใจ คับแค้นใจคือการทำร้ายตนเอง
จนบางครั้งข้าพเจ้าก็ไม่สามารถแยกแยะระหว่างอาการป่วยกับอาการเอาแต่ใจตนได้เลย
เพราะทุกครั้งที่เธอผิดหวังแม้ในเรื่องเล็กน้อย
เธอจะกำมือแน่น น้ำตาไหลพราก และเริ่มทำร้ายตนเอง
ในช่วงที่เธอป่วยช่วงแรกๆ เธอยังไม่ได้รับศีลล้างบาปเป็นคริสตชน
แม้เธอจะคอยบอกข้าพเจ้าว่าเธอต้องการเป็นคริสตชนก็ตาม
ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า เธอยังไม่พร้อมและเธอยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ
ไม่มั่นใจที่จะยืนยัน หรือเป็นพยานให้เธอในการรับศีลล้างบาป
ข้าพเจ้ากำลังพยายามเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจในตัวของอาการโรคซึมเศร้า
โดยไม่ใช่คล้อยตาม หรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่อาการของโรคกำลังปะทุขึ้นมา
ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่า หากสมาชิกคนหนึ่งคนใดในครอบครัวของเราป่วยด้วยโรคนี้
จงรู้ไว้ว่า....โรคนี้ไม่ใช่โรคทางจิตประสาทเพียงเท่านั้น
แต่มันคือโรคทางจิตใจที่ไม่ใช่การรักษาเฉพาะด้วยการกินยาระงับอาการให้หายไปได้ทันที
สิ่งที่ต้องรักษาและสำคัญกว่าคือรักษาภาวะทางจิตใจ
ที่ถูกกีดกั้นด้วยกำแพงในลักษณะขวางกั้นตัวเอง
กับการเผชิญหน้าต่ออุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้น
โดยเอาอดีตมาเป็นตัวตั้งในการตัดสินเหตุการณ์หรือปัญหาในปัจจุบัน
ซึ่งแสดงออกด้วยการทำร้ายตนเองเมื่อไม่สามารถก้าวข้ามผ่านอารมณ์นั้นๆไปได้
สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าบอกกับเด็กสาวผู้ป่วยด้วยโรคนี้คือ ร่างกายของเราเป็นของพระเจ้า
“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตในท่าน”
(1 โครินธ์ 6:19)
ข้าพเจ้าถือว่าเป็นแผนการของพระเจ้า
ที่ได้ส่งเด็กสาวคนนี้เข้ามาในวิถีชีวิตของข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้าได้ฝึกความเข้าใจ ความอดทน ยอมรับ เรียนรู้ตัวโรคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และที่สำคัญ เป็นตัวอย่างในการแสดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
ที่มีอยู่เหนืออำนาจความเจ็บป่วย หรืออำนาจใดๆในโลกนี้
อำนาจของพระเจ้ามีผลเหนือจิตวิญญาณทุกดวง
เพียงแค่เราเปิดใจรับให้พระเจ้าเข้ามามีอำนาจในชีวิตเรา
เด็กสาวพยายามเรียนรู้ที่จะไม่ทำร้ายตนเอง
พยายามฝึกฝนตนเองให้ก้าวข้ามผ่านโรคนี้ไปให้ได้
ปรับจิตวิญญาณของตนไปพร้อมกับการปรับสารเคมีในสมอง
ผ่านการเยียวยาทั้งทางโลก และทางธรรม
หลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้ว่าเธอมีการพัฒนาตนเองด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น
ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ทำร้ายตัวเองซ้ำๆ เหมือนในอดีต
แม้จะยังมีหลุดไปบ้างในบางเหตุการณ์ก็ตาม
ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันเป็นประสบการณ์สำหรับผู้ที่มีสมาชิกป่วยด้วยโรคเหล่านี้
แต่ละคนอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือการแสดงความเข้าใจที่แตกต่างกันไป
ด้วยบุคลิกของผู้ป่วยแต่ละคน ภูมิหลังของปัญหาของแต่ละคน
และการแสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน
เมื่อสมาชิกคนหนึ่งป่วย ต้องมีใครสักคนที่ผู้ป่วยเชื่อฟังที่สุด
เพื่อคอยประคองใจยามพบเจอปัญหา
และต้องมีคนที่วางเฉยที่สุดเมื่อมีเหตุการณ์หรือพฤติกรรมทางลบ
เช่น การทำร้ายตนเอง สมาชิกทุกคนต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่พึงประสงค์
ไม่ยอมรับ และไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
การเข้าไปประคับประคองหรือโอ๋ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
แต่ให้บุคคลที่ผู้ป่วยรักและเข้าถึงได้มากที่สุด เข้าไปรับฟัง ช่วยเหลือ
หรือทำให้เหตุการณ์รวมถึงอารมณ์ ณ จุดนั้นสงบลงก่อน
การอธิบาย หรือการสอน ณ เวลานั้น ไม่มีผลอะไรเลยต่อผู้ป่วยนั้นจริงๆ
แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นการยากที่จะนำวิธีการของคนหนึ่งไปแก้ไขกับอีกคนหนึ่ง
เพราะพื้นฐาน ภูมิหลัง หรือสภาพทางจิตใจของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ลูกสาวของเพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งเธอก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่เธอบอกกับข้าพเจ้าคือ บางทีเราก็ต้องยินยอมให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น
หากมันเกินที่เราจะยื้อไว้ได้แล้วจริงๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเด็กสาวคนนี้ได้รับศีลอภัยบาปแล้ว
โดยข้าพเจ้าเป็นแม่ทูนหัวให้เธอ
แม้ในส่วนลึกข้าพเจ้าเองก็แอบหวั่นไหว ไม่มั่นใจในพัฒนาการเกี่ยวกับตัวโรคของเธอ
แต่ข้าพเจ้าก็ฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในแผนการของพระเจ้า
ในฤทธิ์อำนาจของพระองค์
เพราะจริงๆแล้ว ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใดไม่ได้เลยหากปราศจากพระเจ้า
“ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่”
(1ซามูแอล 3:10)
ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ฟ้าสวรรค์
ดังนั้นแล้ว จงใช้ชีวิต ใช้ร่างกายของตน
เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าเถิด
ขอพระเจ้าโปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า
และต่อบาปที่ข้าพเจ้าได้กระทำลงไปทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งต่อร่างกายของตนเอง และร่างกายของผู้อื่นด้วย
ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักที่จะรัก เคารพ รู้คุณค่าศักดิ์ศรีของร่างกายตนเองและผู้อื่น
เพื่อจะได้เป็นประจักษ์พยานของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง
..................................... |