“พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่ใดทรงกระทำความดี
และทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจของปีศาจ
เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์”
(กิจการอัครสาวก 10:38)
จะกี่ปีผ่านไปประโยคนี้ก็ยังคงย้อนกลับมาให้ข้าพเจ้าสะดุดคิดไตร่ตรองชีวิตอยู่เสมอ
ข้าพเจ้ายังคงคิดถึงประโยคที่ว่า
“อยู่ให้เขารัก จากให้เขาคิดถึง”
น้องร่วมงานของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่มีน้ำใจอยู่เสมอ
ยามใดที่เพื่อน พี่ ร่วมงานเดือดร้อน หรือต้องการใครสักคนช่วยเหลือ
น้องคนนี้มักจะรีบหยิบยื่นไมตรีที่ดีเข้าไปช่วยเหลือตลอดเวลา
หรือที่เรียกว่า ไวต่อความต้องการของผู้อื่น
ข้าพเจ้าว่าเธอเหมือนมีสายตาที่คอยมองว่าใครต้องการอะไร
เพื่อเธอจะได้รีบเข้าไปช่วยอย่างทันท่วงทีเสมอ
แล้ววันหนึ่ง น้องคนนี้ก็ต้องลาออกจากงานไปด้วยเหตุจำเป็นบางประการ
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมงานกล่าวถึงคือคำว่า “เสียดาย”
และเมื่อข้าพเจ้าหรือเพื่อนร่วมงานต้องการบางสิ่งที่น้องเคยช่วยเราก็จะรู้สึกถึงคำว่า “คิดถึง”
สิ่งดีๆที่เราทำไว้ไม่เคยเสียเปล่า ไม่เคยเสียฟรี
เรื่องราวบางเรื่องถูกค่อยๆเรียงร้อยไว้ในใจผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
เราสร้างเรื่องราวที่ถูกเรียงร้อยไว้นี้งดงามเพียงใด เพื่อใครบ้าง
และเมื่อเราจากไป เรื่องราวที่งดงามนี้จะถูกผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเล่าขานต่อไป
เล่าในสิ่งที่เราเป็น เล่าในสิ่งที่เราเรียงร้อยและฝากเรื่องราวเอาไว้
เฉกเช่นที่พระเยซูเจ้าทรงเรียงร้อยเรื่องราวชีวิตของพระองค์ไว้บนโลกนี้
เป็นเรื่องราวที่เล่าเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อหน่าย
เล่าแล้ว “เสียดาย” ที่เรารักพระองค์ไม่ได้เท่าที่พระองค์ทรงรักเรา
เล่าแล้ว “คิดถึง” พระเมตตาที่พระองค์ทรงมีต่อเราในเหตุการณ์ต่างๆของชีวิต
ที่เราคิดว่าไม่น่าจะผ่านพ้นไปได้ แต่มันก็ผ่านพ้นไปได้ทุกครั้ง
ด้วยแบบอย่าง ด้วยเรื่องราวที่พระองค์ทรงเรียงร้อยสอนสั่งไว้ในพระคัมภีร์
“พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่ใดทรงกระทำความดี
และทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจของปีศาจ
เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์”
(กิจการอัครสาวก 10:38)
ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่ที่ใดแล้วเป็นแบบอย่างของความดีงาม
เฉกเช่นที่พระเยซูเจ้าทรงเสด็จไปที่ใดก็ทรงกระทำแต่ความดีงาม
ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะชนะมารซาตาน และไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันอีก
แม้ในอดีตข้าพเจ้าอาจจะตกอยู่ในอำนาจของมันมานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม
แต่ข้าพเจ้าก็มีความตั้งใจดีเสมอที่จะไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันอีกต่อไป
และข้าพเจ้าก็ปรารถนาที่จะเปิดใจให้องค์พระผู้เป็นเจ้า
เสด็จเข้ามาประทับในใจของข้าพเจ้า
เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้มีพลังชีวิตที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในการดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างดี
“เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม
เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้
เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ
เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำจากคุก
ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”
(อิสยาห์ 42:6-7)
ข้าพเจ้าพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอ ให้รู้บทบาทหน้าที่ของตน
ในฐานะผู้รับใช้ที่ต่ำต้อยของพระเจ้า
เพราะหากข้าพเจ้าปราศจากพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ทำสิ่งใดไม่ได้เลยจริงๆ
ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชีวิตข้าพเจ้านั้น
ล้วนเป็นเพราะพระเมตตาของพระเจ้าทั้งสิ้น
เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่า ลำพังตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งมีความผิดบาป และดวงใจที่หม่นดำอยู่เสมอ
ไม่สามารถจะมีสิ่งดีใดๆได้เลยหากปราศจากพระเจ้า และพระเมตตาของพระองค์
คนบาปย่อมเข้าใจคนบาป และการได้รับการอภัยจึงมีคุณค่ายิ่งนักสำหรับคนบาป
เหนือกว่าการอภัยคือพระเมตตาที่ได้รับมาอย่างท่วมท้นตลอดชีวิตข้าพเจ้า
บทเพลงในวัดสมัยข้าพเจ้ายังเป็นเยาวชน ข้าพเจ้าชอบเพลงในพิธีปลงศพหลายเพลง
แต่เพลงหนึ่งที่มักก้องอยู่ในชีวิตข้าพเจ้าก็คือเพลง “รอพระเมตตา” ของ พ.อานามวัฒน์
(คุณพ่อไพศาล อานามวัฒน์)
ขออนุญาตนำเนื้อหาของบทเพลงที่คุณพ่อได้กรุณาแต่งไว้มาทบทวนชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
1. เหนือสิ่งสุดท้ายก็คือความตาย ชีพดับมลายเป็นผงธุลี
แต่สิ่งเหลืออยู่คือความชั่วดี นำบัญชีมุ่งหาพระบิดา
2. เหนือสิ่งสุดท้ายก็คือความจริง ร่างกายชายหญิงแน่นิ่งมรณา
แต่ที่เหลืออยู่คือดวงวิญญาณ์ รอเมตตาจากพระองค์ทรงธรรม
(รับ) เหมือนดั่งพระคริสต์ชีวิตวายชนม์ ทนความทุกข์ทนจนสิ้นชีวัน
ร่างกายสูญสิ้นได้เพียงสามวัน ทรงคืนชีพพลันสู่บ้านถาวร
3. เหนือสิ่งสุดท้ายคือพระวาจา ให้เหล่าวิญญาณ์มวลประชากร
เฝ้าองค์สูงสุดชั่วนิรันดร เมื่อม้วยมรณ์พรแห่งผลดีงาม
..................................... |