“แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอแสงเหนือเจ้า
ทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เหนือเจ้า
นานาชาติจะเดินมาหาความสว่างของเจ้า”
(อิสยาห์ 60:2-3)
ในการร่วม countdown เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ในแต่ละปี
ส่วนใหญ่เราต่างก็เลี้ยงฉลองต้อนรับปีใหม่ข้ามคืนอย่างสนุกสนานเฮฮา
ต่างขอพรให้ชีวิตตัวเองและครอบครัวเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ตลอดปี
อันที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะนั่นก็เป็นกิจกรรมที่สร้างพลังในการดำเนินชีวิต
ให้มีความหวังที่จะก้าวต่อไปอย่างดีในปีใหม่ที่มาถึง
แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ปีใหม่มีความหมายตรงที่ข้าพเจ้าได้ใช้เวลากับครอบครัว
ได้ใช้เวลาในการร่วมขอพรพระเจ้าในวันของพระองค์
พร้อมข้อตั้งใจในการทำสิ่งที่ดีดีตลอดปีใหม่นี้
แม้ว่าในชีวิตความเป็นจริงนั้นหลายคนอาจจะรู้สึกทดท้อกับปัญหาในชีวิต
จนข้ามปีก็ยังไม่สามารถพาชีวิตตนเองให้หลุดจากความทดท้อ อ่อนล้านั้นไปได้
อยากจะสร้างความหวังใหม่ ข้อตั้งใจใหม่ๆให้กับชีวิตตนเองก็ดูจะยากเย็นเหลือเกิน
ปีใหม่ก็กลับกลายเป็นความแห้งแล้ง เดียวดาย สิ้นหวังไปเสีย
ข้าพเจ้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
เพราะข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า เราตรากตรำ ดิ้นรนกับการใช้ชีวิตมาหนักหนาพอสมควร
และยังเห็นภารกิจที่อยู่เบื้องหน้านั้นมากมาย
เหมือนเห็นพายุอยู่เบื้องหน้าแต่ก็ต้องจำฝ่าข้ามไปอย่างไม่รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
วันอาทิตย์สุดท้ายของปี ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปรับพรที่โบสถ์แม่พระฟาติมา เมืองพล
เป็นเช้าที่แสนสดใส อากาศเย็นชื่นใจ
ข้าพเจ้าเดินชมทัศนียภาพ บรรยากาศรอบๆโบสถ์และโรงเรียนที่นั่น
มองเห็นซิสเตอร์ต่างชาติคณะดอมินิกันกำลังเรียกเด็กๆไปรับขนม
มองเห็นสัตบุรุษที่นั่นตระเตรียมอาหาร เครื่องดื่มเพื่อต้อนรับพี่น้องที่มาร่วมรับพร
มองเห็นผู้อาวุโสกว่ายิ้มรับและคอยอวยพรเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปกล่าวอำลา
นี่แหละแสงสว่างของพระเจ้าที่ฉายแสงเหนือข้าพเจ้า
และแสงสว่างนี้แหละที่ส่องสว่างจิตวิญญาณที่เหนื่อยหน่ายของข้าพเจ้าให้มีพลังขึ้น
ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่า ข้าพเจ้าต้องไว้วางใจในพระเจ้า
มอบทุกสิ่ง ทั้งความสุข ความทุกข์ ความกังวล
ปัญหาสารพัน ความสุขสารพัดไว้ในพระเจ้าเท่านั้น
ทำทุกวันให้ดี และมีคุณค่าที่สุด
ทำตัวเองให้เป็นแสงสว่างที่จะส่องลงเหนือคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด
ทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปยึดติดกับใคร
มีเป้าหมายที่ชัดเจนและก้าวไปด้วยความมั่นใจ วางใจในพระเจ้า
ดังนั้น ปีใหม่นี้ข้าพเจ้าก็หวังเหลือเกินว่า
ตัวเองจะเป็นแสงสว่างที่ส่องสว่างให้คนรอบข้างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ไม่ใช่แสงที่สลัวๆ ริบหรี่พร้อมจะดับอยู่ตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านๆมา
แต่นี่ก็เป็นเพียงความตั้งใจของข้าพเจ้าซึ่งถ้าหากขาดพระเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่สร้างแสงสว่างให้กับตนเอง
“พวกเราเห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น”
(มัทธิว 2:2)
พระเยซูเจ้าทรงเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างนำทางแก่โหราจารย์ในยามค่ำคืน
พระองค์นำแสงสว่างให้แก่คนตาบอด และคนสิ้นหวัง
พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างนำทางข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าหลงทาง
และในวันที่ข้าพเจ้ากลับมาอย่างสิ้นแรง
พระองค์ทรงนำพลังใหม่มาให้ข้าพเจ้า เพื่อจะได้มีชีวิตใหม่
และละทิ้งชีวิตเก่าที่สกปรกนั้นเสีย
ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าในทุกๆเช้าวันใหม่ที่พระองค์ทรงมอบให้
วันนี้ข้าพเจ้าได้ชมสารคดีเรื่องศาสดาโลก กับมอร์แกน ฟรีแมน
ข้าพเจ้าแทบจะจับใจความจากสิ่งที่พิธีกรพากย์ไม่ได้เลย
เพราะเสียงหลานๆที่กำลังหยอกเล่นกันอย่างอึกทึกรอบข้างข้าพเจ้า
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นจากภาพคือแผ่นดินและสถานที่ที่พระเยซูเจ้าเคยดำเนินชีวิตอยู่
เรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ก็ผุดขึ้นในใจข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าจะไม่ได้สัมผัสซึ้งถึงในใจได้เลย
หากขาดบิดาผู้ให้พลังแก่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าในการเรียนรู้จักแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้
ข้าพเจ้ามองภาพในสารคดี พร้อมกับทบทวนความรู้เดิมๆที่เคยไปสัมผัสมา
ขอบพระคุณพระเจ้าเหลือเกินที่ส่ง คุณทัศไนย์ คมกฤส และคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
มาเป็นผู้นำพาชีวิตใหม่ให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น
เสียงคำสอน คำชี้แนะ ของท่านทั้งสองยังดังก้องในใจอยู่เสมอ
ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นภาพลักษณ์ความรักของพระเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น
เป็นเสียงที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความเพียรที่พยายามจะเป็นแสงสว่าง
ที่ส่องสว่างฝ่าความมืดของชีวิตออกไปยังคนรอบข้างได้ดีขึ้น
ข้าพเจ้ามีแสงสว่างจากบุคคลแบบอย่างรอบตัวมากมายเหลือเกิน
หากข้าพเจ้าจะยังทำตัวเองให้เป็นความมืด
ก็คงไม่สมควรจะเป็นลูกของพระเจ้าเลยจริงไหม
..................................... |