“พระพรพิเศษมีหลายประการ

แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียว”

(1คร.12:4)

...................................................

ไม่น่าเชื่อว่า สามปีที่ผ่านมากับพระวาจาบทนี้

ข้าพเจ้าก็ยังเลือกประโยคเดิมอยู่

อาจจะเป็นเพราะพระพรพิเศษมีผลต่อชีวิตของข้าพเจ้ามาก

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ข้าพเจ้าเรียนรู้ถึงพระพรพิเศษที่พระจิตเจ้า

ทรงประทานให้เราแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน

เพื่อให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านความสุภาพ นบนอบในชีวิต

ด้วยการพึ่งพาอาศัยพระพรของกันและกัน

ในการกระทำกิจการต่างๆให้สำเร็จไปได้ด้วยดี

ข้าพเจ้าคิดถึงงานชิ้นหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้กระทำ

งานออกแบบแผ่นป้ายไวนิล

เนื้อหาและรูปแบบที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในความคิดนั้น

จะแปรเปลี่ยนออกมาเป็นชิ้นงานที่สวยงามไม่ได้เลย

ถ้าขาดเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งที่มีพระพรด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิค

ไม่มีใครเก่งทุกอย่าง ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมทุกสิ่ง

เราล้วนต้องเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยกันและกัน

เพราะพระจิตเจ้าทรงประทานพระพรให้เราแตกต่างกันออกไป

เพื่อให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนอวัยวะในร่างกายที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

เกื้อกูลซึ่งกันและกัน

................................................

พระคุณ  แห่งพระจิต  สถิตมั่น

ปรีชาญาณ ครบครัน หมั่นฝึกฝน

เปี่ยมด้วย  สติปัญญา ในกมล

ความคิดอ่าน ท่วมท้น  ล้นสิ่งดี

เพิ่มพูน พละกำลัง ความกล้าหาญ

มีความรู้  เชี่ยวชาญ  ทุกถิ่นที่

ศรัทธาล้น ด้วยวิญญาณ  กิจการดี

ยำเกรง  พระภูมี  ที่เมตตา

คือพระคุณ  พระจิต  เจ็ดประการ

ที่พระเจ้า  ประทาน  ด้วยคุณค่า

เป็นพระพร  พิเศษ  ช่วยเยียวยา

เกื้อกูล  รักษา  กันและกัน

...............................................

และสำคัญยิ่ง  พระพรที่พระจิตเจ้าทรงมอบให้เราแต่ละคนนั้น

หากยิ่งใช้พระพรนั้นเพื่อผู้อื่น หรือเพื่อกิจการของพระ

เป็นความน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พระพรนั้นกลับทวีมากยิ่งขึ้น

ไม่เคยมีพระพรใดที่เรายิ่งใช้แล้วยิ่งเสื่อมสลายหายไปจากตัวเรา

พระพรนั้นกลับยิ่งฝังรากแน่น ยึดติดอยู่กับวิญญาณของเรา

กลายเป็นแสงสว่างให้ตัวเราและเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างได้เห็นชัดเจนขึ้นด้วย

เมื่อครั้งที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมายังอัครสาวก

พวกเขาก็มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวที่จะออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า

ข้าพเจ้าอาจจะไม่ได้ออกเดินทางทำหน้าที่เช่นอัครสาวกเมื่อครั้งกระโน้นได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าทำได้คือ ใช้พระพรที่ตนเองมี

เพื่อพัฒนางานของพระเจ้าให้ชัดเจนในหน้าที่การงานของตนเอง

ในกิจการที่ตนเองรับผิดชอบแต่ละวัน

กับคนรอบข้างที่พบเจอในแต่ละช่วงเหตุการณ์ชีวิต

ให้พวกเขาเห็นถึงความรักและพระเมตตาของพระเจ้าผ่านกิจการของเรา

“ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลายกล่าวว่า

จงรับพระจิตเจ้าเถิด

(ยอห์น 20:22)

................................................

S