“ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว
แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ”
(ยอห์น9:34)
..........................................
คนตาบอดแต่กำเนิดได้รับการรักษาจากพระเยซูเจ้าในวันสะบาโต
เขาเป็นพยานถึงการอัศจรรย์ของพระองค์ให้กับชาวฟาริสี
และประชาชนบางคนที่คอยจับผิดพระเยซูเจ้า
เขาถูกขับไล่จากชาวฟาริสีที่คิดอยู่เสมอว่าตนเองบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป
และมองคนอื่นว่าสกปรกไปด้วยบาปหยาบช้า เต็มไปด้วยมลทิน
สังคมปัจจุบันก็ไม่ต่างจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ตอนนี้เลย
วันเวลาและประสบการณ์นำพาให้ข้าพเจ้าพบปะผู้คนเช่นฟาริสี
ผู้ไม่เคยมองเห็นความผิดบาปของตนเอง
ผู้มองเห็นรอยมลทินในตัวของคนรอบข้าง
ผู้มีคำพูดไว้เพื่อประณามคนรอบข้าง และกดคนที่ไม่พึงใจให้ต่ำลง
มนุษย์หรือจะยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า
ข้าพเจ้าเคยอ่อนแอ และยอมแพ้แก่คำพูดกดดัน เหยียดหยาม ทำร้ายจิตใจ
พระวาจาของพระค่อยๆหล่อหลอมข้าพเจ้าขึ้นใหม่
ให้เข้มแข็งและแปรเปลี่ยนเหตุการณ์ทางลบไปสู่พลังในทางบวก
บทสารภาพบาปท่อนหนึ่งเขียนไว้ว่า....
“...ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคนบาป...”
แต่แม้ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้าก็ยังสำนึกตนเองอยู่เสมอว่าเป็นคนบาป
และพร้อมจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น
เพราะตราบใดที่ข้าพเจ้ายังสำนึกตนว่าเป็นคนบาป
ข้าพเจ้าก็ย่อมมีหูเพื่อรับฟังคำชี้แนะ มีใจที่เปิดเพื่อรับพระเมตตา
แต่หากข้าพเจ้าหลงทะนงตนว่าเป็นคนดีพร้อมกว่าใคร
ทั้งหูและใจข้าพเจ้าก็คงจะปิดไม่พร้อมรับฟังคำแนะนำจากใครทั้งสิ้น
คนบาปที่รู้ตัว ยังดีกว่าคนชั่วที่ไม่รู้สำนึกเป็นไหนๆ
“ทรงชี้ทางข้าพเจ้าให้เดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม
เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด
ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า
พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ”
(สดุดี 23:3-4)
....................................
บนหนทาง แห่งความ ชอบธรรม
มีพระองค์ ทรงนำ ทางธรรมนี้
แม้ตัวข้าฯ แสนหยาบ เสียเต็มที
พระองค์ทรง ปรานี ชี้เท่าทัน
ผ่านหุบเขา เงามืด เย็นชืดเฉียบ
จะก้าวเหยียบ เปรียบใจ ช่างไหวหวั่น
อ้อมพระกร ขององค์ พระทรงธรรม์
กางออกพลัน โอบข้าฯ มาคุ้มครอง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปจัดกิจกรรมให้กับเด็กพม่า
จากศูนย์อพยพที่ วัดน.อันนา ท่าจีน
เด็กๆเหล่านี้ ต้องอาศัยอยู่อย่างไร้อิสรภาพ
พวกเขาอยู่อย่างเจียมตัว และออกจะถูกดูหมิ่นดูแคลนจากสังคมรอบข้าง
เนื้อตัวของเด็กๆหลายคนโดยเฉพาะเด็กชายออกจะดูมอมแมม
เพราะขาดการดูแลจากทางบ้าน
ข้าพเจ้าเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก พวกเขาพูดภาษาไทยได้หลายคน
แม้จะอ่านภาษาไทยไม่ออกก็ตาม
คำพูดของพวกเขาซื่อ ผิดกับสิ่งที่ในใจข้าพเจ้าคิดไว้
กลิ่นตัวของพวกเขาบางคนแรงจนข้าพเจ้าต้องถอยออกมาตั้งหลักสักหน่อยหนึ่ง
การถอยมาตั้งหลักทำให้ข้าพเจ้าแอบโกรธตัวเองอยู่ไม่น้อย
อะไรกัน...นี่แค่เริ่มต้นก็ขาดความรัก ความเมตตาแล้วหรือ
ข้าพเจ้าขัดน้ำใจที่ไม่น่ารักของตัวเอง เข้าไปใกล้ๆเด็กมากขึ้น
ลูบศีรษะ ซักถาม ยิ้มให้ และนำกิจกรรมให้กับพวกเขา
พวกเขาร่วมกิจกรรมด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
เป็นสายตาที่ซื่อ เป็นรอยยิ้มที่สวยและบริสุทธิ์
จนสามารถกลบรอยมอมแมม กลิ่นไม่พึงประสงค์จนหมดสิ้นไป
แม้แต่เด็กๆบางคนที่เข้าสู่วัยรุ่น พวกเขาก็ยังร่วมกิจกรรมด้วยความตั้งใจ
ตั้งใจมากกว่าเด็กๆที่มีโอกาสเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเสียอีก
เราจบกิจกรรมด้วยรอยยิ้ม และมิตรภาพที่งดงาม
เช่นเดียวกัน...คนป่วยย่อมต้องการหมอ
คนบาปย่อมต้องการการให้อภัยเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่คนที่คิดว่าตนเองดีพร้อมแล้ว
คงไม่ต้องการเปิดใจรับสิ่งดีใดใดอีกต่อไป
.......................................... |