“...แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีกเลย
น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา
ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”
(ยอห์น 4:14)
....................................................
ร่างกายมนุษย์ขาดอาหารได้ไม่เกิน 45 วัน
แต่ร่างกายมนุษย์ขาดน้ำได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์
น้ำจึงมีความจำเป็นในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
หลายครั้งพระเยซูเจ้าจึงทรงเปรียบพระองค์เองเป็นธารน้ำทรงชีวิต
เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงเหตุการณ์ในสมัยโมเสสในถิ่นทุรกันดาร
อำนาจของพระเจ้าผ่านทางโมเสสทำให้ประชากรของพระเจ้ารอดพ้นจากการเป็นทาส
และทรงประทานมานนาและน้ำให้กับประชากรของพระองค์
เหมือนที่พระองค์ทรงดูแลประชากรของพระองค์มาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อกล่าวถึงน้ำในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน
ปัจจุบันนี้มีน้อยนักที่มนุษย์จะรองน้ำฝนไว้เพื่อใช้อาบใช้ดื่มกิน
เพราะเราได้รับการเตือนจากสาธารณสุขว่าน้ำฝนสมัยนี้สกปรก
เนื่องจากผ่านชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษ
กว่าจะตกลงมาถึงแผ่นดินให้เราได้ชื่นใจ
มนุษย์ทำให้น้ำที่เคยใสสะอาดแปดเปื้อนไปด้วยมลพิษ
และมนุษย์ก็ต้องมาดำเนินชีวิตใช้น้ำที่ต้องผ่านการกลั้นการกรอง
ไม่ใช่ผ่านกระบวนการที่เคยใสสะอาดจากธรรมชาติอีกต่อไป
มีคนเคยถามว่าทำไมพระเจ้ารู้ว่าบางสิ่งนั้นไม่ดีแล้วจึงปล่อยให้เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าถามว่าสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นเพราะฝีมือใครทำ
เขาถามกลับว่า แล้วพระเจ้าสร้างมนุษย์มาทำไมไม่ให้เป็นคนดีทั้งหมด
พระเจ้าสร้างมนุษย์มาดีมาก ดีที่สุด ทรงให้อิสระ
ไม่ได้สร้างมาเหมือนที่มนุษย์สร้างหุ่นยนต์ไว้เพื่อใส่ข้อมูลเฉพาะที่เขาต้องการลงไป
มนุษย์มีอิสระที่จะคิด เลือก และกระทำ รู้ว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ
ลองไตร่ตรองดูเถิดว่าเราอยากเป็นมนุษย์แบบหุ่นยนต์ที่มีข้อมูลสั่งการไว้แล้ว
หรือเราจะเป็นมนุษย์ที่พระองค์ทรงมอบความรัก ให้อิสรเสรีภาพในการดำเนินชีวิต
เพียงแค่เราเลือกที่จะทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องก็เท่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งมนุษย์เลย
เดินทางไปพร้อมกับมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย
ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่จะคอยให้อภัย ที่จะคอยการกลับมาของมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก
ทรงเป็นธารน้ำใสบริสุทธิ์ที่คอยรดรินลงในใจมนุษย์
แต่เราหละ...เคยเปิดใจรองรับน้ำอันทรงชีวิตของพระองค์
มาหล่อเลี้ยงชีวิตวิญญาณของเราเองหรือไม่
“พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป”
(โรม 5:8)
ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องวิ่งไปบนหนทางชีวิต
บางครั้งก็ล้มลุกคลุกคลาน บางครั้งก็สวยงามราบรื่น
ตลอดเส้นทางข้าพเจ้ามอมแมมด้วยโคลน ฝุ่น และคราบเหงื่อไคล
ท่ามกลางแดดร้อนระอุที่แผดเผาข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ายินยอมที่จะเสียเวลาในการวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหลบความร้อนแรงจากแสงนั้น
อยู่ภายใต้อาคารใหญ่ที่ให้ความร่มเงาแต่ไร้ซึ่งเส้นทางที่จะวิ่งไปข้างหน้า
เวลาที่สูญเสียไปกับความสุขเล็กๆน้อยๆของข้าพเจ้า
อาจจะทำให้ข้าพเจ้าพลาดโอกาสที่จะได้สัมผัสกับ
สายลมยามเมื่อหมู่เมฆมาบดบังดวงอาทิตย์
หรือสายฝนปรอยจนเห็นแสงรุ้งงามยามต้องแสงตะวัน
หรืออาจจะพลาดจากการล้างคราบดินโคลน ฝุ่น หรือเหงื่อไคลยามฝนชโลมลงมา
ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนบาปคนหนึ่ง
ที่พระเจ้าทรงเมตตาเอ็นดูช่วยเหลือ ตลอดเส้นทางชีวิต
ดูเถิด ข้าพเจ้ามีใจสู้เพียงใดที่จะออกวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับพระองค์
และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
พระองค์ก็จะทรงชโลมล้างวิญญาณมอมแมมของข้าพเจ้าด้วยน้ำใสสะอาด
ในบางวันที่แดดแผดเผา ข้าพเจ้าเพียงแค่ไว้วางใจ
พระองค์ก็จะทรงให้หมู่เมฆมาบดบังความร้อนแรง
ทั้งยังให้สายลมอ่อนพัดให้เย็นใจ
“พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงนำไปยังทุ่งหญ้า”
(สดุดี 95:9)
............................ |