“ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้”
(โรม 8:31)
มีขั้นตอนหนึ่งของรูปแบบการภาวนาแบบต่างๆ
ซึ่งทุกรูปแบบส่วนใหญ่จะใช้การภาวนาด้วยถ้อยคำหรือพระวาจา
ที่กล่าวซ้ำๆกันในใจ ในสมาธิ ในคำพูดเบาๆให้ก้องอยู่ในความรู้สึก
ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนจะพ่ายแพ้ อ่อนแอ
พระเจ้าก็ทรงนำบทพระวาจาบทนี้มาให้ข้าพเจ้าทบทวนชีวิตตนเอง
เป็นประโยคที่ลอยเด่นขึ้นมาท่ามกลางประโยคที่ยาวราว 6 บรรทัด
ในบทจดหมายของท่านนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
“ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้”
(โรม 8:31)
ใช่สิ ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราพยายามพัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง
ให้อยู่ในพระธรรมคำสอนของพระองค์ รักพระเจ้ารักเพื่อนมนุษย์
และเรายังคงอยู่ในพระเมตตาของพระเจ้า
เราจะไม่พ่ายแพ้ต่อสิ่งใดๆ หรือใครต่อใครที่พร้อมจะเข้ามาทำให้เราหลงทางได้อีก
จะไม่มีศัตรูใดๆ เข้ามากล้ำกรายเราได้เลย
แม้ในวันที่เรารู้สึกอ่อนแอ พ่ายแพ้ สิ้นหวังกับเหตุการณ์ใดๆก็ตาม
เพราะสุดท้าย ทุกเหตุการณ์นั้นมันจะผ่านพ้นไปได้
เพราะพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างผู้ที่ไม่เคยทอดทิ้งพระองค์เช่นกัน
ตราบที่เรายังยึดมั่นในคำสอนของพระองค์ ยังมั่นคงในความเชื่อ
แม้ในวันที่หวั่นไหว เอนเอียงไปบ้างแต่เราก็ยังกลับมาด้วยมั่นใจว่าพระจะไม่ทอดทิ้งเรา
และจะไม่มีสิ่งเลวร้ายใดทำร้ายเราได้ตราบเท่าที่เรายังชิดสนิทกับพระองค์
ไม่มีสิ่งใด ทำร้ายเราได้
ตราบเท่าที่ใจ ใกล้ชิดพระเจ้า
ไม่มีสิ่งใด ในโลกยึดเอา
จิตวิญญาณเรา ไปจากพระองค์
เพราะพระเจ้าทรง สถิตเคียงใกล้
ประคองใส่ใจ ไม่ให้ลุ่มหลง
จิตวิญญาณข้าฯ มุ่งหน้ามั่นคง
ยึดเอาพระองค์ ซื่อตรงไม่คลาย
“ข้าพเจ้ายังมีความเชื่อ แม้เมื่อข้าพเจ้าพูดว่า
“ข้าพเจ้าทุกข์ยากเต็มทนแล้ว””
(สดุดี 116:10)
ความเชื่อเป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับศาสนา
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ความเชื่อเป็นความมั่นคงทางจิตใจที่มีต่อพระเจ้า
มั่นใจในข้อคำสอน ข้อความเชื่อ ในพระวาจาของพระองค์ทุกถ้อยคำ
ดังนั้นแล้ว ความเชื่อจึงเป็นเสมือนพลังงานลึกลับที่ยิ่งใหญ่
ที่คอยผลักดันข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ไม่เข้าใจ
หรือล้มลงในระหว่างทางเดินชีวิตบนโลกใบนี้
ความเชื่อเป็นเสมือนเชื้อไฟในวันที่ดวงใจข้าพเจ้า
กำลังริบหรี่มืดมนหมดหนทาง
ความเชื่อเป็นเสมือนดวงตาของดวงใจ
ที่แม้ไม่เห็นถึงมือที่เข้ามาช่วยเหลือแต่ก็ได้รับความช่วยเหลือทุกครั้งไป
การผ่านทุกเหตุการณ์มาได้อย่างปลอดภัยในทุกกรณี
ข้าพเจ้าถือว่าเป็นพระเมตตาที่พระเจ้าทรงเมตตาต่อชีวิตข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้ามีพลังเหลือพอที่จะก้าวไปข้างหน้า
หรือแม้กระทั่งต้องคลานข้ามผ่านความทุกข์ในวันที่เหมือนจะสิ้นลม
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martin Luther King)
นักกิจกรรมและนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
ที่เคยอยู่ในช่วงเวลาแห่งความล้มเหลวในชีวิตวัยหนุ่ม
รวมทั้งเคยทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าเป็นเวลายาวนาน
เมื่อเขาสามารถก้าวข้ามผ่านความทุกข์ยากเหล่านั้นได้แล้ว
เขากลับกลายเป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้กับผู้อื่นมากมายในสังคม
มีถ้อยคำหลายประโยคที่เขากล่าวเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่น
ประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจก็คือ
“ศรัทธา คือการที่คุณเริ่มก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก
ถึงแม้ว่าคุณจะยังไม่เห็นบันไดทุกขั้นก็ตาม”
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความเชื่อความศรัทธาจะนำพาจิตวิญญาณของคริสตชนผู้เชื่อ
ให้ก้าวข้ามผ่านขวากหนามแห่งชีวิตโดยไม่สงสัยในแผนการณ์ของพระเจ้า
และเจริญงอกงามในหนทางที่ดีและถูกต้องเสมอ
และอีกประโยคของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martin Luther King) ที่ข้าพเจ้าประทับใจ
“ถ้าคุณบินไม่ได้ จงวิ่ง ถ้าคุณวิ่งไม่ได้ จงเดิน
ถ้าคุณเดินไม่ได้ จงคลาน
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณต้องก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้”
เพราะเมื่อเราต่อสู้ด้วยตนเองจนถึงที่สุดแล้ว
พระเจ้าจะทรงประคับประคองผู้เชื่อในพระองค์
ให้ผ่านพ้นทุกก้าวย่าง ทุกการคืบคลานอย่างยากลำบากของเราอย่างแน่นอน
และพระองค์ทรงทันเวลาเสมอ
ทั้งยังไม่ช้าและไม่สายที่จะเข้ามาประคับประคอง ไม่รีบร้อนตามใจข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ช่วงเวลาที่ต้องพึ่งพาพระองค์ด้วยความสุภาพนบนอบ
ช่วงเวลาที่จะต้องเรียนรู้ถึงความอดทน ความเข้มแข็งต่ออุปสรรคของชีวิต
จนสามารถก้าวข้ามผ่านและพบความสำเร็จในพระเมตตาของพระองค์
..................................... |