"เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์

เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์”

(มัทธิว 2:  )

เมืองเบธเลเฮม เมืองเล็กๆที่พระผู้ไถ่ได้ทรงเลือกสรร

ให้เป็นสถานที่ต้อนรับการบังเกิดมารับสภาพมนุษย์ของพระองค์

ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกไร้คุณค่าสำหรับใครบางคนบนโลกใบนี้

ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าข้าพเจ้ามีคุณค่าเสมอสำหรับพระเจ้า

สิ่งเล็กๆที่ใครบางคนอาจจะมองไม่เห็น

พระพรบางอย่างที่ใครบางคนอาจจะไม่เคยรับรู้

แต่พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าในสิ่งเล็กๆและพระพรที่ข้าพเจ้ามี

พระองค์ทรงเลือกให้ข้าพเจ้ามีสิ่งเล็กๆที่มีคุณค่าสำหรับคนที่เห็นคุณค่า

แล้วข้าพเจ้าจะต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเหตุใด

ให้กับใครบางคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของข้าพเจ้าเลย

บุตรสาวให้ความสำคัญกับคำพูดของเพื่อนซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตของตน

การถูกบูลลี่ ซึ่งบางทีข้าพเจ้าก็ไม่ชอบใจนักกับคำๆนี้

ในอดีต คำๆนี้มิได้ถูกยกขึ้นมากล่าวถึง และเมื่อมีการเริ่มกล่าวถึงบ่อยครั้ง

การถูกกล่าวถึงจึงเป็นเสมือนการชี้แนะให้เกิดการกระทำซ้ำๆไม่จบสิ้น

บุตรสาวกล่าวว่า เพื่อนชอบบูลลี่หนูในสิ่งที่หนูไม่ชอบ

และข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า คำพูดเหล่านั้นที่บุตรสาวเรียกว่าการบูลลี่

มีผลต่อการใช้ชีวิตของบุตรสาวไม่น้อยเลยทีเดียว

เธอต้องการจัดระเบียบชีวิตของเธอ รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง

เพื่อให้เพื่อนของเธอเลิกที่จะบูลลี่เธอ

ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า  ลูกจะดีจะชั่ว จะเป็นอย่างไรอยู่ที่ตัวลูกเอง

ไม่ใช่อยู่ที่คำพูดของใคร โดยเฉพาะคนที่คอยลิดรอนกำลังใจของเรา

ลูกไม่ควรให้คุณค่าของตนเองไปตกอยู่ในคำบูลลี่ของผู้อื่น

เพราะในทุกๆสิ่งดี  ในทุกๆพระพรที่ลูกมีนั้น

คนที่บูลลี่ลูกก็ไม่อาจมีเหมือนลูก

และถึงแม้เขาอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะบูลลี่ลูก

ลูกจะให้คุณค่ากับคำพูดเหล่านั้นทำไมเล่า

ในเมื่อลูกมีคุณค่าที่พระเจ้ามอบให้และพระองค์ก็เห็นคุณค่าลูกเสมอ

มองกลับไปให้เห็นคนที่รักลูก คนที่คอยส่งกำลังใจให้ลูก

คนที่ชื่นชมลูกซึ่งก็มีมากมายกว่าคนที่เข้ามาทำร้ายลูกเสียอีก

เหตุใดลูกจึงใส่ใจคนกลุ่มน้อยที่ทำร้ายลูกมากกว่าคนกลุ่มใหญ่ที่ใส่ใจลูกเล่า

ยิ่งเราถูกบูลลี่มากเท่าใด เราก็ยิ่งดูเหมือนจะต่ำต้อยมากเท่านั้นจริงหรือ

แต่หากเราเอาคำบูลลี่มาสร้างพลังให้เราได้แสดงความสามารถ

และพระพรของเราออกมาให้คนที่บูลลี่เราได้เห็นว่าเราไม่ใส่ใจกับถ้อยคำเหล่านั้น

และพระเจ้าของเราก็เติมพลังให้เรามากพอที่จะก้าวข้ามผ่านถ้อยคำเหล่านั้นไปได้

เรากำลังจะเติบโตและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น

โดยถ้อยคำบูลลี่ของใครๆก็ไม่มีผลต่อชีวิตเราเลย

“ขอพระราชาทรงปลดปล่อยผู้ขัดสนที่ร้องหาพระองค์

และทรงช่วยคนยากจนที่ไม่มีผู้ช่วยให้รอดพ้น

ขอทรงสงสารผู้อ่อนแอและผู้ขัดสน

ทรงช่วยผู้ขาดแคลนให้รอดจากความตาย”

(สดุดี 72:12-13)

ตราบใดที่เรายังมีพระเจ้านำทางเราเดินไปบนโลกใบนี้

เราจะไม่หลงทางและเผชิญความยากลำบากเพียงลำพัง

เพราะพระเจ้าทรงเมตตาต่อผู้อ่อนแอ และผู้ที่ถูกเบียดเบียนทั้งกายและใจเสมอ

ข้าพเจ้าชอบท่อนรับของบทเพลงหนึ่งที่มักดังขึ้นมา

ในวันที่ข้าพเจ้าผิดหวังกับใครบางคน

ที่อันที่จริงแล้วเขาอาจจะเข้ามาเพื่อฝึกฝนความเข้มแข็งอดทนให้กับข้าพเจ้า

แต่ผู้ที่เป็นแสงสว่างของชีวิตข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

รวมไปถึงบุคคลที่รักข้าพเจ้า และบุคคลที่รักข้าพเจ้า

ต่างก็ทำให้ความหม่นหมองจากดวงใจที่ผ่านการฝ่าฟันบนโลกใบนี้

มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

You are my sunshine, my only sunshine

เธอคือแสงตะวันของฉัน  แสงตะวันของฉันเท่านั้น

You make me happy when skies are gray

เธอทำให้ฉันมีความสุขยามที่ท้องฟ้ามัวหมอง (ยามเจอความทุกข์)

You’ll never know dear, how much I love you

เธอคงไม่รู้ ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน

Please don’t take my sunshine away

ได้โปรดอย่าพรากแสงตะวันไปจากฉันเลย”

(ท่อนหนึ่งของเพลง You are my sunshine)

สิ่งเล็กๆ  ในชีวิตฉัน            คือความเชื่อมั่น ในพระรู้ไหม

พระพรพิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร        คือสิ่งที่ได้ ไม่ใช่น้อยเลย

ฉันจึงภูมิใจ  ในองค์พระคริสต์       ผู้ให้ชีวิต  ดวงจิตเอื้อนเอ่ย

ก้าวตามทางพระ  ไม่ทิ้งพระเลย           พระเมตตาเช่นเคย  ลูกเอ่ยขอบคุณ

.....................................