“ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล
เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด
ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น
จงตื่นอยู่เสมอและจงรู้จักประมาณตน”
(1 เธสะโลนิกา 5:5-6)
ข้อเขียนครั้งก่อนข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมของบุตรสาว
ในวันที่เธอรู้สึกผิดหวัง เสียใจ และกำลังโทษถึงความอ่อนแอของตนอย่างหนัก
ข้าพเจ้าขอทบทวนความรู้สึกในวันนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ในวันที่ข้าพเจ้าเดินผ่านห้องนอนของบุตรสาวแล้วได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ
พร้อมเสียงบ่นพึมพำไม่ได้ใจความอยู่สักพักใหญ่
ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป พบว่าบุตรสาวกำลังนั่งกอดเข่าตัวเองร้องไห้น้ำตานองหน้า
ปากก็พร่ำพูดเหมือนบ่นกับตนเองไม่เป็นประโยค
ข้าพเจ้ารู้สึกไม่พอใจกับสภาพของลูกสาวในเวลานั้นเอาเสียเลย
จนเผลอเอ็ดเธอออกไปว่า “ลูกกำลังทำอะไรของลูกอยู่”
เธอเงยหน้าที่นองน้ำตาขึ้นฟูมฟายบอกข้าพเจ้าว่า
“แม่ปล่อยหนูไว้อย่างนี้ หนูกำลังโกรธตัวเองที่ทำอะไรก็ไม่เคยดีเลย
ทำอะไรให้ใครก็โดยว่าตลอด หนูมันแย่ หนูมันไม่เอาไหนเลย”
แล้วเธอก็ก้มลงกอดเข่าตัวเองร้องไห้ต่อไป
ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะปล่อยให้บุตรสาวจมอยู่กับอารมณ์เช่นนี้เพียงลำพังไม่ได้เลย
ข้าพเจ้าเริ่มหายใจลึกๆ เก็บอารมณ์ที่พลุ่งพล่านด้วยความไม่เข้าใจ สงสัยไว้ในใจ
เดินเข้าไปนั่งบนเตียงใกล้ๆบุตรสาวกล่าวว่า
“ลูกเป็นอะไร ลูกต้องหยุดร้องไห้ และกอดเข่าตัวเองแบบนี้ก่อน”
เธอเริ่มพร่ำพรรณนา “หนูมันไม่เอาไหน ใครๆก็ด่าว่าหนู
หนูมันอ่อนแอ หนูมันไม่เก่ง ไม่เข้มแข็งเหมือนพี่ เหมือนน้อง....”
เธอเริ่มพร่ำรำพันพยายามขุดภาพลบที่คิดว่าเป็นของตัวเองออกมามากมาย
ยิ่งพร่ำพูดก็ยิ่งพาตัวเองแย่ลงไปเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าจึงบอกเธอว่า “ทำไมลูกรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าหุบเหวที่มองลงไป
ก็มืดมิด ลูกก็ยังจะปีนจะไต่มันลงไปหาความมืดมิดนั้น
หรือทำไมลูกรู้ว่าลูกอาจจะถูกผลักลงไปในหุบเหวมืดมิดนั้นจากคนรอบข้าง
ที่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ หรือตั้งใจก็ตาม
ลูกก็ไม่พยายามที่จะไต่จะปีนขึ้นมาหาแสงสว่าง กลับพาตัวเองไต่ลงให้ลึกเข้าไปอีก
การที่ลูกมานั่งกอดเข่าพร่ำพูดถึงภาพลบที่ตนเองสร้างขึ้นมาเอง
ตีตราตัวเองให้เป็นเช่นนั้น
ก็เหมือนลูกพยายามไต่ลงไปยังหุบเหวมืดมิดนั้นไม่ใช่หรือ
ปีนขึ้นมาสิ มองขึ้นข้างบนสิ ไม่ใช่ก้มมองแต่เข่าตัวเองพร้อมน้ำตา
แม่เองก็เคยเป็นแบบหนู อ่อนแอกว่าหนูหลายร้อยเท่า
กว่าจะเข้มแข็งได้ขนาดนี้ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนคนแล้ว
แต่หนูอายุยังน้อย พยายามฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็งไวกว่าแม่
ลูกต้องเข้มแข็งที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนในภาพลักษณ์ที่ลูกเป็น ลูกมีอยู่แล้ว
พระพรต่างๆที่ลูกมีก็มากมาย คนรอบข้างก็ยอมรับลูก รักและเอ็นดูลูก
ลูกมีแสงสว่างอยู่เบื้องหน้าที่รอลูกก้าวไป
แล้วอะไรคือการที่ลูกพาตัวเองปีนลงไปในหุบเหวของความมืดมิดนั้น”
ข้าพเจ้าและบุตรสาวยังคุยกันอีกพักใหญ่
จนกระทั่งเห็นว่าบุตรสาวหลุดออกมาจากอารมณ์นั้นแล้ว
จึงชักชวนให้ไปทำกิจกรรมอื่นๆแทน
.......................................
เราทุกคนมีพระพรพิเศษแตกต่างกันไป เราทุกคนมีแสงสว่างของพระเจ้านำทางชีวิต
พระพรพิเศษของเราแต่ละคนที่ถูกใช้เพื่อผู้อื่นจะทวีมากยิ่งขึ้น
ความสว่างของเราที่ส่องสว่างเพื่อผู้อื่นก็เช่นกัน
จะนำพาผู้อื่นให้เห็นหนทางชัดเจน และปลอดภัย
หากตัวเราเองยังมีเงามืดปกคลุมตัวเองแล้ว
เราจะนำความสว่างไปให้คนรอบข้างได้อย่างไรกัน
ดังนั้นแล้ว เราจึงมีทั้งพระพรพิเศษและแสงสว่างพิเศษนำทางชีวิตของเรา
เราจึงต้องใช้พระพรและแสงสว่างนั้นอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถของเรา
มิเช่นนั้น พระพรและแสงสว่างนั้นก็จะถูกริบคืนกลับไป
เหมือนใบมีดที่ไม่ได้ใช้ตามหน้าที่ของมันอยู่เสมอ ก็จะทื่อและเป็นสนิมไร้คุณค่าในที่สุด
..............................
เราเป็นคนของโลกใบนี้ที่มีสภาพแวดล้อมคอยหล่อหลอมให้เราแก่งแย่งแข่งขัน
กอบโกยความสุขสบายใส่ตัวเอง นำเสนอความสุขทางกาย
และเสพสื่อที่นำเสนอซึ่งความสุขทางกายจากสังคมรอบข้าง
เพื่อนำมาสร้างความปรารถนาของตน และไขว่คว้าให้ได้มาเช่นกัน
หลงคิดว่าความสุขนี้คือความสงบสุขสันติและปลอดภัยในชีวิต
ทั้งๆที่ นี่คือวิถีทางความสุขของโลกใบนี้ที่เบียดบังความสุขฝ่ายจิตวิญญาณ
“เมื่อใดที่กล่าวกันว่า ‘มีสันติและความปลอดภัยแล้ว’
เมื่อนั้นความพินาศจะอุบัติแก่เขาโดยฉับพลัน
เหมือนความเจ็บปวดของหญิงมีครรภ์ แล้วเขาจะหนีไม่พ้น”
(1 เธสะโลนิกา 5:3)
ตราบใดที่เรายังเดินทางอยู่บนโลก เป็นคนของโลกนี้
เราคงจะหาความสงบสันติและปลอดภัยให้แก่จิตวิญญาณได้ยากลำบากยิ่งนัก
ดังนั้นแล้วการเฝ้าระวังจิตวิญญาณของตนไม่ให้ความมืดเข้าครอบงำ
จึงต้องเป็นความพยายามอย่างสุดกำลัง
อาศัยพระเมตตารักของพระเจ้าผู้ทรงเป็นพละกำลังและแสงสว่างของเรา
...สุขทางโลกหล่อเลี้ยงร่างกาย
สุขสบายตามวิถีโลกนี้
สุขทางธรรมสุขชื่นชีวี
หล่อเลี้ยงใจนี้ด้วยวิถีแห่งธรรม...
......................... |