“ดังนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด

เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา”

(มัทธิว 25:13)

ผู้บริหารโรงเรียนท่านหนึ่งกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า

เยาวชนในยุคปัจจุบันนี้น่าเป็นห่วงด้วยภัยทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต

พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายที่แท้จริงปลายทางชีวิตคืออะไร

พวกเขามีปัจจุบันเป็นที่ตั้งในการแสวงหาความปรารถนาของตน

เรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่ตนยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร มีขอบเขตเพียงไหน

โดยหลายครั้ง พวกเขาลืมไปว่า สิทธิเสรีภาพที่เขากำลังเรียกร้องนั้น

อาจจะกำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเช่นกัน

พวกเขาปรารถนาชัยชนะบนโลกใบนี้ ในการห้ำหั่นเรียกร้อง

โดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า ผลลัพธ์ที่เขาต้องการคืออะไร

และมีประโยชน์สูงสุดเพื่อส่วนรวมจริงหรือไม่

ข้าพเจ้าจึงคิดถึงพระวาจาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมา

ในเรื่องหญิงสาว 10 คน สรุปท้ายเรื่องว่า

“ดังนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา”

(มัทธิว 25:13)

เราเพียรหาชัยชนะบนโลกใบนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกใจ ตรงใจของตน

จนลืมคิดถึงชัยชนะของชีวิตตนเองในโลกหน้า

ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตตนคืออะไร

ความสะใจที่ได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ฟาดฟันบนโลกใบนี้หรือ ?

อะไรคือความถูกต้อง อะไรคือความดีงาม

มนุษย์มีสติปัญญามากมายเพียงใดหรือ ที่จะตัดสินคนรอบข้างว่าเขาผิดหรือถูก

ถ้าวันพรุ่งนี้โลกจะแตก   วันนี้ข้าพเจ้าจะทำอะไรได้บ้างเล่า

ข้าพเจ้าเพียรแสวงหาสันติสุขแท้ที่อยู่ภายใน

พยายามไม่วิ่งตามกระแสโลก กระแสสังคมจนเอาตนเองเข้าไป

ในวิถีของอารมณ์มนุษย์

แบ่งฝักแบ่งฝ่ายใช้คำพูด การกระทำทำร้ายกันและกันไปมา ไม่รู้สิ้นสุด

เพื่อผลประโยชน์อันใดกันเล่า

ทั้งหมดทั้งสิ้นต่างคนต่างมองว่าคนอื่นนั้นผิด ตนถูกต้องทั้งนั้น

การกระทำสำคัญกว่าคำพูด

และการกระทำที่แสดงความเป็นประจักษ์พยานแห่งรักเมตตา

ตามแบบศิษย์พระคริสต์

ย่อมชัดเจนและสร้างสันติกว่าการลุกขึ้นมาประหัตถ์ประหารกันในทุกทางเสียอีก

ทำไมมนุษย์จึงเลือกที่จะยุติความขัดแย้งด้วยความรุนแรง  คำพูดใส่ร้ายกันและกัน

และอำนาจที่ตนมีเหนือกว่าไม่ว่าจะเป็นอำนาจกลุ่มใดๆก็ตาม

ข้าพเจ้าคิดถึงพลังชีวิตที่พระเจ้าทรงเติมให้ในใจมนุษย์ทุกคน

แล้วมนุษย์แต่ละคนก็ใช้มันอย่างไม่รู้คุณค่า ใช้มันในทางที่ผิด

จนวันหนึ่งพลังชีวิตนั้นหมดลง แล้ววันสุดท้ายก็มาถึง

เราจะยังมีพลังชีวิตใดหลงเหลืออยู่เพื่อเดินทางไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เล่า

แต่ก็นั้นแหละ  ปัจจุบันหลายชีวิตก็ไม่ได้เห็นคุณค่า ความสำคัญของเส้นทางเดิน

สู่อาณาจักรสวรรค์กันเสียแล้ว

“ในวันสุดท้าย...ตะเกียงชีวิตของคุณจะมีน้ำมันหลงเหลืออยู่เพื่อเข้าสู่สวรรค์หรือไม่”

ในวันสุดท้ายที่เราไม่เคยรู้ว่า เมื่อไหร่ วันไหน

และเราจะเหลือความทรงจำดีๆใดไว้ให้ลูกหลานของเราพูดถึงเราต่อไป

“เพราะความรักมั่นคงของพระองค์มีคุณค่ากว่าชีวิต

ริมฝีปากข้าพเจ้าจะพร่ำสรรเสริญพระองค์

ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดชีวิต

ข้าพเจ้าจะชูมือขึ้นเรียกขานพระนามพระองค์”

(สดุดี 63:3-5)

ข้าพเจ้าเคยรู้สึกทดท้อห่อเหี่ยวใจกับการต้องเห็นการดำเนินชีวิตของเยาวชนรุ่นใหม่

แม้ว่าจะยังมีเยาวชนอีกหลายคนที่น่ารัก

และดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยานของพระคริสต์ได้อย่างดี

แต่ก็ยังมีเยาวชนอีกไม่น้อยที่เดินตามกระแสโลก กระแสสังคม

จนแยกไม่ออกระหว่างความกล้าหาญ กับความก้าวร้าวในการแสดงตัวตนออกมา

จะอย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกขัดแย้งในใจข้าพเจ้า

บังเอิญเหลือเกินที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าอบรมแนวทางการปกป้องคุ้มครองเด็ก

ซึ่งมีแนวทางมากมายที่ผู้ใหญ่พึงต้องปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชน

โดยรู้ถึงสิทธิของเด็กและเยาวชนที่ผู้ใหญ่พึงปฏิบัติ

ข้าพเจ้ารู้สึกค้านในใจ เนื่องด้วยผลประโยชน์นั้นให้กับเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่

และดูเหมือนผู้ใหญ่จะถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ

หรืออำนาจที่จะครอบครองเด็กให้อยู่ในโอวาทได้บ้าง

แต่สุดท้าย  ข้าพเจ้าก็เข้าใจได้ว่า อำนาจที่ผู้ใหญ่มี

ต้องมาพร้อมกับมโนธรรมหรืออำนาจภายในเพื่อสร้างอำนาจร่วมแก่กันและกัน

สุดท้ายแล้วการที่ผู้ใหญ่เป็นประจักษ์พยานชีวิต มีความรักเมตตาเป็นพื้นฐาน

เด็กและเยาวชนก็สามารถที่จะซึมซับเอาสิ่งที่ผู้ใหญ่แสดงออกมานั้น

เข้าไปเป็นพฤติกรรมของตนได้

ข้าพเจ้ารู้ดีว่ากิจการเช่นนี้เป็นกิจการที่ยากและท้าทายสำหรับครู/ผู้ใหญ่

ที่ต้องเผชิญกับเด็กและเยาวชนที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนั้น

แต่หากข้าพเจ้าไม่ทดท้อ และพยายามที่จะเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิต

ให้ความรักเมตตาเยียวยาจิตวิญญาณของเด็กและเยาวชน

ที่พวกเขาอาจจะบอบช้ำจากการเปลี่ยนแปลงรอบข้างของพวกเขา

โดยที่เราอาจจะไม่ได้เหลียวกลับไปสัมผัสในใจของพวกเขาอย่างลึกซึ้งเลย

ข้าพเจ้ามีความหวังว่า....

ความอ่อนโยนจะค่อยๆกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเยียวยาใจที่แข็งกระด้างได้ในสักวันหนึ่ง

ความรักเมตตาจากใจจะชำระล้างดวงใจที่ต้องการเอาชนะให้ยอมเป็นผู้แพ้ได้บ้าง

ดังนั้น ในฐานะของสมาชิกในโรงเรียนคาทอลิก

ข้าพเจ้าจึงบอกกับตนเอง แสดงความตั้งใจกับตนเองไว้ว่า

จะพยายามปรับดวงใจของตนเองในฐานะครู

ใช้ความรักเมตตา อ่อนโยน เพื่อให้เกิดอำนาจร่วมกัน

ระหว่างตัวข้าพเจ้าเองและเยาวชน

และแม้ว่าระหว่างเส้นทางที่ยาวนานหรือไม่นั้นจะมีอุปสรรคให้ทดท้อใจ

ข้าพเจ้าก็ปรารถนาจะยึดมั่น เดินตามทางแห่งการเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิต

ตามแบบอย่างพระคริสต์ เพื่อนำศิษย์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน

ศิษย์ที่เติบโต อบอวลด้วยความรักและเมตตา

ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน  ด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ

และปฏิบัติตนตามแบบอย่างพระคริสต์ไปด้วยกัน

โดยไม่ใช้ความรุนแรง หรือละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน

ขอเพียงมองตา  ก็รับรู้ถึงจิตใจ

ขอเพียงภายใน  มีจิตใจรักเมตตา

มีพระคริสต์  นำชีวิตไปข้างหน้า

ร่วมรักษา เยียวยาสมานดวงใจ

.........................