“พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า

“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ

สุดวิญญาณ  สุดสติปัญญาของท่าน....

ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ”

(มัทธิว 22:37-39)

ข้าพเจ้าเคยถามเยาวชนต่างความเชื่อกลุ่มหนึ่งว่า

คุณลักษณะเด่นของคนที่นับถือศาสนาคริสต์คืออะไร

พวกเขาตอบข้าพเจ้าว่า “คนคริสต์ส่วนใหญ่จะดูเป็นคนใจดี  มีน้ำใจ  มีเมตตา มีจิตอาสา

มีความอ่อนโยน  ใจกว้าง  ชอบช่วยเหลือ และมีบุคลิกนิ่งๆ เงียบๆ”

ข้าพเจ้าในฐานะคนคริสต์เอง เราย่อมรู้ตัวของเราดีว่า

สิ่งที่บุคคลภายนอกมองเรา กับสิ่งที่เราเป็นในเนื้อแท้ของเรา มันจริงแท้แค่ไหน

ข้าพเจ้าเคยมองสะท้อนภาพต่างๆของบุคลิกลักษณะของพี่น้องคริสตชนด้วยกันบางคน

เคยรู้สึกตัดสินพี่น้องคริสตชนด้วยตัวเองว่าทำไมคนนี้จึงเป็นคริสตชนด้วย

ทำไมคริสตชนบางคนจึงมีลักษณะนิสัยที่ไม่น่ารักแบบนี้

ทำไมคริสตชนบางคนจึงใช้คำพูดทำลายน้ำใจผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย

ทำไมคริสตชนบางคนมีสายตาที่ดูแคลน เหยียดหยามผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเขาได้

ทำไม  และทำไม  คือคำถามในใจข้าพเจ้าทุกครั้งที่ได้พบเจอบุคคลประเภทนี้

                                แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงกระซิบเตือนข้าพเจ้าว่า

ข้าพเจ้าหละเป็นคริสตชนประเภทไหนสำหรับคนรอบข้าง

“อย่าตัดสินเขา แล้วท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน”

(มัทธิว 7:1)

ข้าพเจ้ากำลังตัดสินผู้อื่นด้วยคำตัดสินของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

บางที  ข้าพเจ้าอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นมา

ของพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นพฤติกรรมทางลบในสายตาของข้าพเจ้า

ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า

เลิกที่จะตัดสินผู้อื่น เลิกที่จะเพ็งเล็งคนรอบข้าง  หรือมองหาจุดบกพร่องของเพื่อนมนุษย์

แต่หันกลับมามองหาข้อบกพร่องของตนเองเพื่อปรับปรุงตนเอง

พัฒนาจิตวิญญาณของตนเองตามบัญญัติแห่งความรักที่พระเจ้ามอบให้

ถามตนเองอยู่เสมอว่า รักพระเจ้ามากพอจริงหรือเปล่า

รักเพื่อนมนุษย์มากพอจริงหรือไม่

กิจการที่ทำเพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่น 

และทำสิ่งใดบ้างที่ยืนยันว่าตนเองเป็นคริสตชนอย่างแท้จริง

มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีอิสรเสรีภาพในการคิด การกระทำ

แต่การกระทำต้องอยู่ในกรอบของมโนธรรมที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ทุกคน

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่า มนุษย์รู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่กำลังกระทำนั้น

มโนธรรมเตือนตนว่าอย่างไร

อยู่ที่มนุษย์เลือกที่จะใช้อิสรเสรีภาพลงมือกระทำ

ตามเสียงของมโนธรรม หรือเสียงความปรารถนาของตนเอง

มีอาจารย์สอนศาสนาท่านหนึ่งกล่าวว่า

กฎของสังคมมนุษย์มีอยู่ 2 กฎ คือ

กฎของมนุษย์ ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่รู้สึกผิดเมื่อได้รับการยินยอมร่วมกัน

เช่น กฎระเบียบสังคมส่วนรวม  กฎการแข่งขันต่างๆ เป็นต้น

และ กฎของพระเจ้า ซึ่งหากมนุษย์เปลี่ยนจะรู้สึกผิดทันที  นั่นคือ มโนธรรม

เช่น  เราฝ่าฝืนกฎของสังคมส่วนรวมที่ตั้งมาแล้วทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ก็จะทำ มโนธรรมเตือนตนว่าผิด ก็ยังดื้อรั้นจะกระทำ   เป็นต้น

มโนธรรมจึงเป็นคุณธรรมที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในใจมนุษย์เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต

ด้วยการแสดงออกซึ่งความรักต่อพระเจ้า และความรักต่อเพื่อนมนุษย์

หากมนุษย์รู้จักที่จะฟังเสียงของมโนธรรม

รู้จักยับยั้งชั่งใจที่จะใช้เสรีภาพของตนอย่างมีสติ

สังคมมนุษย์คงเต็มไปด้วยสันติสุข

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ผู้ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหลักศิลาและป้อมปราการของข้าพเจ้า

ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น”

(สดุดี 18:1-2)

ในอดีตพระเจ้าทรงปกปักษ์ พิทักษ์ดูแลมนุษย์ด้วยความรัก

เคียงข้างมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย

มา ณ วันนี้ แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้สัมผัสพระองค์ด้วยสายตา

แต่ด้วยใจ ข้าพเจ้ารับรู้ว่า พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งข้าพเจ้าไปจากเส้นทางของพระองค์เลย

ดังบทเพลงแห่งรักที่แว่วดังว่า

“บนทางเดิน ในความมืดมน เดียวดายจนเกินทนใครเลยเข้าใจ

เสียงนุ่มนวลยังคง ก้องดังข้างใน  เราอยู่เคียงข้างเสมอ”

.........................