“เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย”
(มัทธิว 22:14)
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับหน้าที่คัดเลือกเยาวชนต้นแบบของโรงเรียน
บรรดานักเรียนที่เป็นตัวแทนของแต่ละห้อง
ทยอยกันเข้ามาให้สัมภาษณ์ทีละคน
บทสัมภาษณ์เป็นไปอย่างอิสระของผู้สัมภาษณ์ในรอบคัดเลือกรอบแรก
คำถามที่ข้าพเจ้าถามทุกคนคือ ทำงานจิตอาสาอะไรบ้าง
ช่วยทำงานบ้านอะไรบ้าง และให้เล่าตารางเวลากิจกรรมของตนเองในแต่ละวันให้ฟัง
รวมถึงความถี่ของการปฏิบัติศาสนกิจของตนด้วย
นักเรียนแต่ละคนให้คำตอบที่แตกต่างกันไปมากมายตามบุคลิกลักษณะ
และพื้นฐานชีวิตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
การนำเสนอคุณลักษณะเด่นของตนเองจึงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสวยสดงดงาม
บางคนนำเสนอให้เห็นได้ชัดเจนทั้งกิจการและคำพูดจาก
สิ่งที่คณะกรรมการได้เห็น ได้สัมผัสสม่ำเสมอในแต่ละวัน
แต่บางคนก็นำเสนอตนเองเพื่อสร้างแค่ภาพลักษณ์ให้ตรงเกณฑ์ประเมินของครูเท่านั้น
ผู้ผ่านการคัดเลือกจึงถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทั้งกิจการและคำพูด
ผู้ที่ได้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยมีกฎแห่งความรักผ่านมโนธรรมอยู่ในใจทุกคน
กฎแห่งมโนธรรมความดีงามจะคอยกระตุ้นเตือนให้มนุษย์ยั้งคิดยั้งทำ
แต่หลายครั้งมนุษย์ก็ชอบที่จะแหกกฎ ด้วยอ้างว่ามันคืออิสรเสรีภาพที่พึงมี
ทั้งๆที่มโนธรรมในใจก็ส่งเสียงร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา
กฎแห่งมโนธรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เพราะพระเจ้าทรงใส่ไว้ในจิตวิญญาณของมนุษย์แล้ว
เมื่อเราอยู่ในกฎ สังคมโลกก็เป็นระเบียบ สันติสุขก็บังเกิดทุกหนแห่ง
แต่เมื่อใดที่เราแหกกฎ เราใช้อิสรเสรีภาพนอกกรอบของกฎแห่งมโนธรรม
เราก็ทำลายความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้า
แล้วจะทำอย่างไรได้เล่าให้วิญญาณของเราสะอาดบริสุทธ์พอที่จะเป็นผู้ได้รับเลือก
ในอดีต อาดัมและเอวา ตัวแทนของมนุษยชาติได้พลาดผิดไม่เชื่อฟังพระเจ้า
เขาหลงวางใจในมารซาตาน และเผลอเอาใจออกห่างจากพระเจ้า
วิญญาณของเขาจึงแปดเปื้อนด้วยความผิดบาปนั้น
เพราะพระเจ้าทรงเป็นพละกำลัง และความอ่อนหวานของมนุษย์
ตราบใดที่มนุษย์ยังวางใจไว้ในพระเจ้า วิญญาณของมนุษย์จะเข้มแข็งมากพอ
ที่จะผ่านพ้นจากการหลงผิดฝ่ายโลกได้ไม่ยากเลย
“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ในพระองค์ผู้ประทานพละกำลังแก่ข้าพเจ้า”
(ฟิลิปปี 4:13)
ในพระองค์ ขอทรง โปรดนำทาง
อย่าไกลห่าง ทางชีวิต ฝากจิตไว้
ให้พระองค์ ทรงดูแล พิทักษ์ใจ
นำสวรรค์ ราชัย สู่ใจเทอญ
ลูกสาวเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆของเธอ
ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป และซักถามว่าเป็นอะไร
เธอร้องไห้ฟูมฟาย บ่นแต่ว่าทำไมทำอะไรไม่ได้ดีเลย ทำไมทุกอย่างดูแย่ไปหมด
หนูต้องการอยู่กับตัวเอง ร้องไห้กับตัวเอง ย้ำถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง
ข้าพเจ้าถามเธอว่า แล้วที่ทำอยู่มันรู้สึกดีขึ้นไหม
เธอว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แต่หนูอยากอยู่กับตัวเอง
ข้าพเจ้าถามเธอว่า การที่ลูกตกลงไปในหลุมดำของความรู้สึกแย่ๆนั้น
แล้วลูกก็พยายามมุดให้ลึกลงไปเรื่อยๆ ลูกจะพบทางสว่างไหม
ทำไมลูกไม่พยายามพาตัวเองออกมาจากหลุมดำ
ทำไมลูกไม่พยายามปีนขึ้นมาหาที่สว่าง
ลูกดำดิ่งลงไปทำไมในเมื่อยิ่งลึก ยิ่งรู้สึกแย่ เดียวดาย เจ็บปวด น่ากลัว
ลูกต้องปีนขึ้นมาหาทางสว่าง เผชิญกับความจริง
ปัญหา ความเลวร้าย ความรู้สึกที่แย่ๆทุกอย่างพอเวลาผันผ่าน มันก็ผ่านไป
นิ่งให้พอ รอให้ได้ ใจให้เย็น ก็เป็นสุข
ข้าพเจ้าเพิ่มน้ำหนักถึงความเป็นปกติ ธรรมดาโลกของความรู้สึกนี้
ด้วยการนำเสนอชีวิตแย่ๆของตนเองในอดีตสมัยอายุเท่าลูกสาว
อันที่จริง การที่ลูกมีจิตใจหวั่นไหวง่ายก็ได้มาจากแม่นี่แหละ
อดีตแม่ก็เป็นคนที่หวั่นไหวง่ายจนเพื่อนๆที่เข้มแข็งบางคนรู้สึกรำคาญ
แม่ก็รู้ว่าตนเองอ่อนแอในเรื่องของความรู้สึกที่ดูจะเปราะบางไปเสียหมด
กว่าจะเข้มแข็งได้ถึงจุดนี้มันต้องใช้เวลา ต้องฝ่าฟันประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านเข้ามา
ประสบการณ์ที่เลวร้าย จนทำให้เรารู้สึกว่าเราจะผ่านมันไปได้อย่างไร
แม่เข้มแข็งช้าเพราะแม่ได้รับประสบการณ์ช้า
เพราะแม่มีคนคอยเติมเต็ม คอยดูแลตั้งแต่เล็กจนโต จนทำงาน
ก็ยังมีคนคอยตามประคบประหงม คิดให้ ตัดสินใจให้ตลอด
แม่จึงรู้ว่าลูกรู้สึกอย่างไร และแม่ก็รู้ว่า ลูกแม่เข้มแข็งกว่าแม่ในอดีตมากนัก
เพียงแต่ลูกต้องไม่จมอยู่กับความทุกข์ที่เกิดขึ้น
ไม่หมกตัวอยู่กับความมืดบอดของอุปสรรคชีวิต
ลูกต้องปีนขึ้นมารับแสงสว่างของฟ้าใหม่ที่จะสดใสกว่าฟ้าเดิมด้วยความเข้มแข็ง
เหมือนในบทเพลงสดุดีที่บันทึกว่า
“แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด
ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า
พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ
พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำหรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู”
(เพลงสดุดี 23:4-5)
“หากวันนี้ เราล้มลง ยังคงลุกขึ้นได้ใหม่
ยังคงมีหนทาง ถ้ายังมียิ้มสดใส ก้าวไป อย่าหวั่นไหวหวาดกลัว
พร้อมทนทุกข์หมองหม่น ผจญความมืดหมองมัว
ไม่กลัว จะฝันถึง วันใหม่...”
(เพลง อย่ายอมแพ้...อ้อม สุนิสา)
......................... |