“พี่น้องอย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย
จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาทุกอย่างของท่าน
พร้อมกับการขอบพระคุณ”
(ฟีลิปปี 4:6)
ในวันที่เรารู้สึกว่าหมดพลังชีวิต
ในยามตื่นก็รู้สึกไม่อยากตื่น มองภาระงานก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายทดท้อ
พาร่างอันสะบักสะบอมกลับบ้านทุกยามเย็น
ไม่อยากแตะต้องงานอื่นใดอีกนอกจากพาร่างไปเข้านอน รอเช้าวันใหม่ที่จำเจต่อไป
ทำไมเราจึงปล่อยให้ชีวิตเป็นเช่นนั้น
ไม่มีใครอยากปล่อยให้ชีวิตเป็นเช่นนั้น แต่มันก็ต้องมีบางช่วงของชีวิต
ที่ความรู้สึกนั้นมันเข้ามาในวันที่ใจอ่อนล้า หรือบรรยากาศชวนให้เป็นไป
สิ่งหนึ่งที่จะสามารถเรียกพลังกลับมาได้ดีคือการลุกขึ้นเอาชนะมัน
ทิ้งความวุ่นวายของชีวิตประจำวันของตนเองสักชั่วครู่
มองหาความสดชื่นแจ่มใสของชีวิต
ข้าพเจ้าชอบการบันทึกความรู้สึก หรือแต่งบทกลอน บทความในวันที่ใจแห้งแล้ง
หรือมีความทุกข์อย่างล้นเหลือ โดยมีผู้อ่านเป็นองค์พระคริสตเจ้า
อย่างน้อยมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสามารถระบายความรู้สึกใดๆลงไปก็ได้
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วรู้สึกดีขึ้นคือการระบายความสวยงามของชีวิต
ประสบการณ์ที่เข้ามาแล้วประทับใจลงเป็นตัวอักษร
ยิ่งบันทึกยิ่งรู้สึกเห็นตัวตนความเป็นตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าย้อนกลับไปอ่านความทรงจำในอดีตบนหน้าเฟสบุ๊คของตนเอง
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าระบายความรู้สึกหดหู่ทดท้อเป็นบทกลอนลงไปในอดีต
เมื่อย้อนกลับมาอ่านมันก็ยังคงเป็นอารมณ์ที่ทดท้อหดหู่เช่นนั้น
แต่เมื่อใดที่ข้าพเจ้าเปิดมาแล้วพบว่าในอดีต ณ วันนั้น
ข้าพเจ้ามีความสุขสดชื่น มองโลกสวยงาม
มันก็ทำให้ดวงใจของข้าพเจ้ารู้สึกมีพลังอย่างน่าแปลกประหลาด
การได้บันทึกความรู้สึกของตนในแต่ละวัน
ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าตัวเองมีพัฒนาการในด้านอารมณ์มากน้อยเพียงใด
และจะทำอย่างไรเพื่อให้พัฒนาการด้านนี้เป็นพัฒนาการเชิงบวกมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าต้องมองหาแหล่งพลังที่จะเสริมพลังบวกให้ตนเอง
เพื่อบันทึกพลังบวกไว้เป็นพลังขับเคลื่อนในวันนี้และอนาคต
ที่ข้าพเจ้าอาจจะเปิดมาย้อนอ่านบันทึกนั้นอีกครั้ง
มีคนเคยกล่าวว่า “อย่าพยายามพูดถึงปัญหาชีวิต
เพราะมันเป็นเสมือนยาเสพติดที่ยิ่งเสพก็ยิ่งเลวร้ายย่ำแย่
แต่จงพูดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่จะสร้างพลังให้ตนเอง”
ข้าพเจ้าเตือนตัวเองในทุกวัน เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่า
ข้าพเจ้ามีความอ่อนแอและพร้อมจะพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา
มีอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะมั่นคงนัก บางวันสดชื่นรื่นรมย์ บางวันกลับไม่อยากพบหน้าผู้คน
แต่อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันขออย่าให้มันสูญเปล่าไปอย่างไร้คุณค่า
ด้วยความทดท้อ สิ้นหวัง หมดแรงพลังที่จะทำสิ่งใดๆเลย
“แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้น
จะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู”
(ฟิลิปปี 4:7)
ข้าพเจ้ารู้ว่า โดยลำพังตัวข้าพเจ้าเอง ไม่อาจต่อสู้หรือผ่านพ้นความอ่อนแอต่างๆไปได้เลย
หากไม่มีแสงสว่างแห่งความเมตตาของพระคริสตเจ้าทรงนำทางข้าพเจ้า
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าฝ่าฝืน จองหอง คิดว่าตนสามารถเดินได้เองโดยลำพัง
ในทุกครั้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงก่อให้เกิดความผิดพลาดมากมายในชีวิตข้าพเจ้า
ดังนั้นแล้ว ทุกครั้งที่มโนธรรมกำลังเตือนข้าพเจ้าว่า
กำลังหลงทะนงตนมากเกินไปแล้ว
วันนั้นข้าพเจ้าจะได้ฝึกฝนที่จะลดความทะนงตนลง
ด้วยใจที่สุภาพมากพอ ยอมรับ และขอบพระคุณในความต่ำต้อยของตน
ปัจจุบันนี้ มนุษย์กำลังพยายามหาหนทางกลับคืนสู่ธรรมชาติ
พยายามหาหนทางพาตนเองให้หลุดพ้นจากเส้นทางแห่งวัตถุนิยม
แต่อีกหลายคนก็ยังคงดิ้นรนวิ่งตามวัตถุนิยมอย่างไม่ลดละ
ข้าพเจ้าเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังมุ่งแสวงหา และกลับคืนสู่ธรรมชาติ
มีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากความวุ่นวายในสังคมเมืองยิ่งนัก
เพราะในสังคมเมือง ข้าพเจ้าเป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น
ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นในสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากเป็นเลย
ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องราวของสวนองุ่นของพระเจ้า
เถาองุ่นที่เติบโตด้วยพระเมตตาของพระเจ้าต้องคืนกลับสู่พระเจ้า
ข้าพเจ้าอยากเป็นเถาองุ่นที่มีคุณค่ามากพอที่พระองค์จะทรงคัดเลือกไว้
เถาองุ่น ขององค์ พระคริสตเจ้า
พระองค์เฝ้า ดูแล และรักษา
ลิดกิ่งก้าน หว่านอาหาร สำราญตา
ผลองุ่น ดกหนา น่าชื่นใจ
ขอพระองค์ ทรงลิ้มลอง ตรองดูเถิด
องุ่นใด รสเลิศ เกิดคุณให้
โปรดรับเอา เข้าสู่ วิมานใจ
องุ่นน้อย ในราชัย ให้ยินดี
......................... |