“ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”

(มัทธิว 20:15)

การเปรียบเทียบเกิดขึ้นตลอดชีวิตการเป็นมนุษย์

ไม่ว่าจะในวงการการทำงานระบบมนุษย์เงินเดือน

ที่พนักงานคอยเปรียบเทียบการขึ้นเงินเดือนของตนกับเพื่อนร่วมงาน

และเก็บมาซุบซิบนินทา  เห็นด้วยบ้าง  ไม่เห็นด้วยบ้าง

หรือในการเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่ง

ทุกอย่างดูมีการเปรียบเทียบไปเสียหมดในชีวิตมนุษย์

ที่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม

หรือแม้แต่แค่การดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละคน

บางคนทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง  ในขณะที่บางคนท่องเที่ยวตามฝันอย่างสนุกสนาน

ความแตกต่างทำให้เกิดการเปรียบเทียบ

แต่ในความแตกต่างบางที่เราอาจจะมองมุมของตนฝ่ายเดียว

มุมที่ลดคุณค่าของตนลง และยกคุณค่าของผู้ที่เราเปรียบเทียบขึ้น

เมื่อเราเห็นว่าเขาสุขสบายกว่าตน ได้รับความเมตตามากกว่าตน

เราอาจจะไม่ได้รับรู้ในมุมมืด มุมทุกข์ที่เขาอาจจะหนักหนากว่าเราก็ได้

ทุกครั้งที่เราเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับใครเพื่อลดคุณค่าของตนลง

เมื่อนั้นเราก็จะพบเจอแต่ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ท้อแท้

ข้าพเจ้าเองก็เป็นมนุษย์ที่อ่อนแอคนหนึ่ง

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเองก็แอบอิจฉาคนที่เขาพรั่งพร้อมทุกสิ่งอย่าง

ได้พักผ่อน ได้ท่องเที่ยวไปในที่ๆอยากไป ไม่ต้องมีอะไรให้วุ่นวายหัวใจ

มีเงินมีทองพอที่จะทำในสิ่งที่ตนอยากทำ   ไปในที่ๆตนอยากไป

แต่นั้นเป็นเพราะข้าพเจ้ามองมุมมืดของตนฝ่ายเดียว

โดยลืมไปว่า ตัวเราเองก็มีอะไรอีกหลายๆอย่างที่น่าอิจฉาเช่นกัน

ข้าพเจ้ามีครอบครัวที่อบอุ่น  คอยเติมเต็มและเป็นพลังให้ข้าพเจ้า

ในวันที่ข้าพเจ้าบาดเจ็บ อ่อนแอจากการดิ้นรนต่อสู้ในโลกนี้

ข้าพเจ้ามีพ่อแม่ที่น่ารัก คอยห่วงใย ถามไถ่ ให้พร ให้เวลา ให้ความรักดีๆ

ให้แบบอย่างที่ดีมากแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้

ข้าพเจ้ามีพี่ มีน้องที่รักข้าพเจ้ามาก

พวกเขาคอยรับฟัง ปลอบใจ ให้ใจ  เข้าใจ เติมใจ และช่วยเหลือข้าพเจ้า

ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สมบูรณ์  หรือหมดแรงจะก้าวเดินต่อไป

นอกจากการเติมเต็มฝ่ายใจจากบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว

ข้าพเจ้าก็ยังสามารถเติมเต็มหัวใจให้ตนเองได้จากสิ่งต่างๆที่ข้าพเจ้ามี

ข้าพเจ้ามีแปลงเกษตรเล็กๆ น่ารัก ที่ทางหมู่บ้านจัดสรรให้ลูกบ้านทำเกษตร

           มันเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าได้พักใจ พักสายตา พักภารกิจวุ่นวายของชีวิต

ข้าพเจ้ามีหลังคาบ้านที่เมื่อปีนขึ้นไปนั่งในยามเย็นจะเห็นทุ่งกกธูป

ได้สัมผัสสายลมพัด  เสียงนกกาเหว่า นกกระปูด นกกระจิบร้อง

เห็นเครื่องบินแต่ละสายการบิน บินผ่าน  มองลุ้นล้อที่เครื่องบินปล่อยเพื่อเตรียมลงรันเวย์

ข้าพเจ้าเคยแต่งกลอนบทหนึ่งไว้เพื่อเตือนใจตนเอง...

พอใจในสิ่งที่มี   ยินดีในสิ่งที่ได้

มีแค่ไหนก็สุขใจ  ไม่เหมือนใครก็สุขดี

ความอิจฉาห้ามอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้

แต่ข้าพเจ้าฝึกปรับเปลี่ยนความอิจฉาให้เป็นพลังในการสรรหาสิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต

สร้างสุข จากสิ่งที่มี      สร้างความยินดี จากสิ่งที่ได้

มองให้เห็นสุข  ก็สุขใจ       สุขยิ่งใหญ่  จากสิ่งที่มี

 

“ท่านทั้งหลายจงประพฤติตนให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสตเจ้า”

(ฟิลิปปี 1:27)

ข้าพเจ้าดูละครเรื่องหนึ่ง “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” ซึ่งหากจะกล่าวถึงบุคลิกของนางเอก

ก็คงจะถูกกล่าวว่าเป็นนางเอกที่ดีจนน่ารำคาญ

ซึ่งในชีวิตจริงคงจะไม่มีใครที่ยอมถูกทำร้าย ยอมรับความอยุติธรรมได้ขนาดนั้น

แต่ในความอยุติธรรม และการยอมรับแบบยึดมั่น ถือมั่น จริงจัง

ซึ่งอาจจะหาไม่ได้ในสังคมปัจจุบันแล้ว

อย่างน้อยคำพูดหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้า หรือคนดูอาจจะได้ฉุกคิดบ้าง

เพื่อได้กลับมาทบทวน และฝึกฝนตนเองให้อดทนที่จะรักและทำสิ่งที่ดีอย่างไม่ย่อท้อ

เชื่อมั่นในความรักและความดีที่จะต้องเกิดผลไม่สักวันใดก็วันหนึ่ง

“เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีหัวใจ

มนุษย์จึงไม่อาจต้านทานความรักและความดีที่มั่นคงเที่ยงแท้ และไม่สิ้นสุดได้”

ความรักและความดีจากใจที่บริสุทธิ์และอดทน

จะหลอมละลายหัวใจที่แข็งกระด้างให้อ่อนโยนลงเรื่อยๆ

บทเพลงจากข้อความในพระคัมภีร์ประโยคหนึ่งก็ดังขึ้นในวันที่ใจอ่อนล้าที่จะทำสิ่งที่ดี

เพลง Don't give up (กาลาเทีย 6:9) ของ BB.Mind

“อย่าให้เราเหนื่อยล้าในการทำดี

เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจ แล้วเราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร”

(กาลาเทีย 6:9)

.........................