“ความเครียดแค้นและความโกรธเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่คนบาปกลับยึดไว้แน่น”

(บุตรสิรา 27:30)

สังคมทุกวันนี้เหมือนมี 2 ขั้วที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หนึ่ง บุคคลที่พยายามแสวงหาหนทางแห่งความสงบสุขของชีวิต

ด้วยเห็นว่าชีวิตในสังคมโลกทุกวันนี้มันช่างวุ่นวายยุ่งเหยิงเหลือทน

เขาพยายามหาหนทางคืนสู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง

สอง บุคคลที่พยายามแสวงหาความโดดเด่น อำนาจ ชื่อเสียงในชีวิต

ด้วยเห็นว่า โลกต้องพัฒนาไปให้ถึงที่สุด

และบุคคลต้องก้าวให้ทันโลก

เขาพยายามจะดิ้นรนขวนขวายหาลู่ทาง วางแผนการชีวิตเพื่อผลักดันตนเองอย่างสุดแรง

บางกลุ่มคน...

มองเห็นแต่เพียงเหตุผลของตนเพียงฝ่ายเดียวว่าเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง

เอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง มุทะลุดุดันก้าวร้าวผู้มีความเห็นต่าง

ขาดสติยั้งคิด ยั้งทำ ขาดการยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะพูดสรุปสิ่งต่างๆออกไป

มองผู้คิดต่างเป็นศัตรูของตน

จนบางครั้งก็ลืมคิดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ และบุคคล

ความแตกต่างของการรับรู้ข้อมูล

ที่ต่างคนต่างเอามาสรุปเป็นข้อมูลของตนบนความคิดเห็นส่วนตัวของตน

แต่ทำร้ายคนรอบข้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรนำเข้ามาอยู่ในบทสนทนา

เพราะบางเรื่องนำไปสู่การแตกแยก ระแวง และความเห็นต่างที่ไม่เคยจบสวยงาม

ดังนั้นแล้ว การเลือกที่จะเงียบบ้าง เลือกที่จะไม่รู้บ้างก็เป็นสิ่งที่ดี

ที่จะทำให้เราเห็นทัศนคติของอีกฝ่าย

เพื่อตั้งรับให้ถูกที่ถูกทาง วางคนให้ถูกตัวในการปรับทัศนคติที่บิดเบือนไป

แต่ผู้ที่ลุกขึ้นมาโวยวาย ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน

มักจะกลับกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ไปเสีย

เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง มีบุคลิกที่นิ่งเงียบในทุกเหตุการณ์

แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่เขากระทำพลาดอย่างหนักหนาสาหัส

เขาก็ยังคงแสดงท่าทีที่นิ่งสงบบนใบหน้าอย่างชัดเจน

จนไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ถึงเหตุการณ์ผิดพลาดยิ่งใหญ่นั้นได้เลย

เพราความนิ่งเงียบ และสงบของเขา

เขาจึงมีโอกาสในการกลับตัวกลับใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างง่ายดาย

ต่างจากผู้ที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

เขาป่าวประกาศความเลวร้ายของตนด้วยอารมณ์ของตนให้คนรอบข้างรู้

เมื่อถึงเวลาที่เขาจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ

จึงต้องใช้แรงพลังมหาศาลเช่นที่เขาเคยใช้แรงอารมณ์แสดงออกไป

เพื่อให้เขากลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้งหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ดี พระเยซูเจ้าทรงสอนให้คริสตชนมีจิตยิ่งใหญ่แห่งการให้อภัย

จะกี่ครั้งกี่หนที่เราต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่ทำร้ายเรา

เราก็ยังคงต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยอย่างไม่มีสิ้นสุดต่อไป

ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่า

ต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง

แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”

(มัทธิว 18:22)

ผู้ป่วยต้องการหมอฉันใด  ข้าพเจ้าก็ต้องการพระเจ้าฉันนั้น

โรคภัยฝ่ายจิตบางทีก็ไม่แสดงอาการให้ผู้อื่นเช่นเดียวกับโรคภัยฝ่ายกาย

กว่าจะวินิจฉัยได้ถูกต้องก็ล่วงเวลามาจนยากจะรักษา

เมื่อรักษาจนหายแล้ว ก็ยังกลับไปใช้ชีวิตตามอำเภอใจอีกครั้ง

ไม่เชื่อคำหมอสั่ง คำพระสอน

กี่ครั้งกี่หนที่ได้รับการรักษา ได้รับการเยียวยา

แล้วก็ยังคงกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“แต่พระองค์ยังทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร

ทรงให้อภัยความผิด ไม่ทรงทำลายเขา

ทรงระงับพระพิโรธครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่ทรงปล่อยความโกรธอย่างเต็มที่”

(สดุดี 78:38)

.........................