“มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต”
(มัทธิว 16:26)
มีเรื่องเล่าในสมัยโบราณเรื่องของการขายวิญญาณให้ปีศาจ
เพื่อแลกกับอำนาจชื่อเสียงเกียรติยศบนโลกใบนี้
แต่สุดท้าย ในความเป็นปีศาจย่อมต้องมีการแลกเปลี่ยนด้วยวิญญาณและชีวิต
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล่าอิงเรื่องให้คิดทบทวนไตร่ตรอง
ชีวิตฝ่ายจิตที่มนุษย์มักหลงลืมไป
ในขณะที่กระแสของการดิ้นรนต่อสู้เพื่อไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ
ในทุกวิถีทางบนสังคมโลกใบนี้
บางครั้งชีวิตจริงของใครอีกหลายๆคนก็เป็นเช่นนั้น
ยอมทำสิ่งที่เลวร้ายเพื่อแลกกับความต้องการบางอย่างในชีวิต
โดยไม่คำนึงถึงการก้าวล้ำข้ามเขตแดน และลดคุณค่าศักดิ์ศรีของผู้อื่น
คิดถึงแต่ความสุขสบาย ความสำเร็จ ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นของตนเอง
“ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง
จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา”
(มัทธิว 16:24)
เด็กคนหนึ่งไม่พึงพอใจด้วยความที่เพื่อนได้รับเลือก
ให้ทำหน้าที่กล่าวทำนองเสนาะในงานวันแม่ของโรงเรียน
พร้อมทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวต่อครู และเพื่อนที่ได้รับเลือกว่า
เธอก็ทำได้และทำได้ดีกว่าเพื่อนคนนั้นด้วยซ้ำไป ทำไมจึงไม่เลือกเธอ
ครูพยายามให้เหตุผลถึงการเลือกในครั้งนี้อย่างละมุนละม่อม
แต่เธอก็ยังยืนยันถึงสิ่งที่เธอควรได้รับเลือกในครั้งนี้
แม้ครูจะให้เหตุผลเธอมากมาย เช่น การให้โอกาสเพื่อนในการแสดงออกบ้าง
เพราะเธอได้รับเลือกให้แสดงออกหลายหน้าที่แล้ว
หรือ การที่ครูต้องฝึกฝนคนอื่นๆเพื่อให้มีตัวแทนนักเรียน
คอยสำรองในยามที่ใครคนใดคนหนึ่งติดธุระด่วน ไม่สามารถมาทำหน้าที่ได้
ข้าพเจ้าคิดถึงภาพลักษณ์ของคริสตชนจากเรื่องราวสอนใจในครั้งนี้...
1. คริสตชนควรมีท่าทีสุภาพนบนอบถ่อมตน นั่นคือ รู้จักฝึกให้โอกาสผู้อื่นได้เจริญงอกงามบ้าง ชื่นชมยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี เห็นคุณค่าของผู้อื่น แม้พื้นฐานลึกๆในจิตใจของมนุษย์ น้อยคนนักที่อยากเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนก็ตาม
2. คริสตชนควรมีหัวใจที่เปี่ยมรัก นั่นคือ เรียนรู้ที่จะรักแบบที่พระเยซูเจ้าทรงรัก รักด้วยความเมตตา อภัยไม่สิ้นสุด มีความหวังอยู่เสมอ รักโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่คิดเล็กคิดน้อยเมื่อทำสิ่งดีใดให้ใคร ไม่คิดเป็นบุญคุณที่ต้องได้รับกลับคืน นั่นคือหัวใจแห่งรักที่แท้จริง (1โครินธ์ 13) เพราะสำคัญที่สุดคือความรัก
3. แบกกางเขนด้วยความยินดี นั่นคือ อุปสรรคในชีวิตที่แต่ละคนต่างพบเจอ บางคนคิดแต่ว่าตนลำบากกว่าคนอื่น เอาชีวิตของตนไปเปรียบเทียบกับชีวิตของผู้อื่น และทำร้ายตนเอง รวมไปถึงคนที่รักตนเองให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนของความปรารถนาแห่งตน ดังนั้นแล้ว อุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ยากในชีวิตที่ผ่านเข้ามา คือกางเขนที่เราพึงต้องรู้จักแบกรับด้วยความยินดี ไม่พร่ำบ่นกร่นว่า ตัดรอนกางเขนนั้นออกไปเพื่อสนองความสุขสบายของตน
4. ติดตามพระเยซูเจ้า นั่นคือ ศิษย์แท้ของพระคริสต์ แม้ในบางครั้งเราอาจจะมีชีวิตที่ปฏิเสธพระเยซูเจ้าเมื่อเรารู้สึกหวาดกลัวเช่นเปโตร แต่ก็ขอให้ทุกครั้งเราสำนึกผิดและกลับคืนมาติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ต่อไป
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าให้มัธยมต้นเขียนเรียงความเรื่อง “ศาสนาแห่งความรัก”
โดยให้เขียนถึงข้อคำสอนของศาสนาที่สอนเกี่ยวกับความรัก
นักเรียนชายเข้าใหม่คนหนึ่งเดินมาหาข้าพเจ้าพร้อมกล่าวว่า
“ครูครับ ผมเขียนไม่ได้ เพราะผมไม่มีศาสนา”
ข้าพเจ้าถามนักเรียนชายว่า
“แล้วใครสอนการแสดงความรักต่อผู้อื่น หรือการปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
อย่างสันติ และมีความสุข ให้กับลูกเล่า”
นักเรียนชายทำท่าครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “น่าจะแม่ครับ”
ข้าพเจ้าจึงกล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้น ให้เอาข้อคำสอนที่แม่สอนมา
ให้ลูกแสดงความรักต่อผู้อื่น อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติ แม่สอนอย่างไร”
นักเรียนชายกลับไปเขียนสักครู่ ก่อนจะเดินมาถามข้าพเจ้าว่า
“แล้วถ้าจะมีศาสนาต้องทำอย่างไรหละครับ”
ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “มาเรียนคำสอนศาสนาคริสต์กับครูไหมหละ”
เด็กชายทำท่าครุ่นคิด ยิ้มน้อยๆ เหมือนกำลังคิดหาคำตอบในใจของตน
ก่อนจะเดินไปเขียนเรียงความต่อ
.....................................
ความรักพระองค์....มั่นคงหนักหนา
เยียวยารักษา....คุณค่าชีวี
พระองค์ทรงตรัส...ขจัดไพรี
ศัตรูราวี....มีพระคุ้มกัน
ทางแห่งกางเขน...งามเด่นเฉิดฉัน
ศัตรูโรมรัน...มิหวั่นพรั่นพรึง
พระองค์ใส่ใจ....พระทัยลึกซึ้ง
ด้วยรักตราตรึง...ลูกจึงมั่นคง
......................... |