“ทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก”
(ลูกา 1:52-53)
ความเชื่อคาทอลิกเชื่อว่าพระเจ้าได้รับพระแม่มารีย์เข้าสู่สวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ
เหตุด้วยพระแม่เป็นผู้ได้รับเลือกสรรเข้าร่วมแผนการไถ่กู้มนุษยชาติ
เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้รับโอกาสเดินทางสู่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
ณ ที่นั่น มีวัดแห่งหนึ่งชื่อวัดแม่พระบรรทม
ด้านในของวัดข้าพเจ้ายังจำได้ติดตาว่ามีโดมทรงกลม
ภายในมีพระรูปแม่พระแกะสลักจากไม้ กำลังนอนบรรทมอยู่
ด้านบนหลังคาโดมทรงกลมมีรูปสตรีที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์
ข้าพเจ้ายืนมองรูปเหล่าสตรีบนหลังคาโดมนั้น
อย่างน้อย ในภารกิจของพระเยซูเจ้า
บรรดาสตรีก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมเดินทางไปกับพระองค์ด้วย
สำคัญไปกว่านั้น สตรีหลายคนที่ถูกกล่าวถึงนั้นพระเจ้าทรงฉุดดึงขึ้นมาจากโคลนตม
ตั้งแต่เอวาในพันธสัญญาเดิมมาจนถึงหญิงคนบาปในพันธสัญญาใหม่
และมาจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าเองก็เป็นหญิงคนบาปคนหนึ่ง
ที่พระเจ้าพยายามฉุดดึงขึ้นมาจากโคลนตมเช่นกัน
เมื่อข้าพเจ้ามองดูความหม่นหมองของวิญญาณตนเอง
ข้าพเจ้าก็มองเห็นความขาวสะอาดของจิตวิญญาณพระแม่มารีย์ชัดเจนขึ้นเสมอ
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่า รังสีแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระแม่
เฉิดฉายปกคลุมและเจือจางจิตวิญญาณสีหม่นๆของลูกของพระแม่ให้สวยงามขึ้นด้วย
พระแม่มารีย์ผู้สุภาพถ่อมตน
ไม่มีสักครั้งที่พระแม่ยกย่องตนเองในฐานะแม่ของพระคริสตเจ้า
พระแม่ใช้ชีวิตเพื่อให้คนรอบข้างเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
มากกว่าเห็นความยิ่งใหญ่ของความเป็นแม่ของพระเจ้า
“วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จิตใจข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า
พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า”
(ลูกา 1:46 – 47)
ในความสุภาพนบนอบของพระแม่มารีย์
พระแม่มารีย์ก็เป็นที่เคารพรักของคนรอบข้างด้วยเช่นกัน
ด้วยความมีน้ำใจ มีเมตตาช่วยเหลือ
ตั้งแต่เดินทางไปดูแลนางเอลิซาเบธจนกระทั่ง
นางเอลีซาเบธคลอดนักบุญยอห์นบัปติสต์
ตั้งแต่งานเลี้ยงที่เมืองคานาด้วยความห่วงใยของพระแม่
ที่มีต่อเจ้าภาพจัดงานเมื่อเหล้าองุ่นหมด
ข้าพเจ้าเฝ้าเตือนตัวเองเสมอให้รู้จักที่จะเลียนแบบอย่างความอ่อนโยนที่ไม่อ่อนแอ
เช่นที่พระแม่มารีย์ทรงเป็นแบบอย่างให้
เพราะหลายครั้งที่ข้าพเจ้าแยกแยะตัวเองระหว่างความอ่อนแอและอ่อนโยนไม่ถูก
อ่อนโยนต่อผู้อื่น แต่ไม่อ่อนแอต่อบาป และผู้ชักจูงไปสู่บาป
แม้ข้าพเจ้าจะได้รับเกียรติบัตรชื่นชมในฐานะครูผู้มีอัตลักษณ์ความอ่อนโยน
แต่ข้าพเจ้าก็รู้ตัวตนของตนดีว่า
ในความอ่อนโยนข้าพเจ้าแฝงความอ่อนแอเอาไว้มากกว่า
จนกระทั่งมันอาจจะแสดงออกมาในรูปแบบที่ละม้ายคล้ายความอ่อนโยนก็เป็นได้
แต่อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านั้นกลับสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักที่จะฝึกฝนตนเอง
รู้ว่าควรอ่อนโยนต่อเหตุการณ์ใด กับใคร เมื่อไหร่
และควรเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวกับเหตุการณ์ใด กับใคร เมื่อไหร่เช่นกัน
ข้าพเจ้าเคยสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับน้องคนหนึ่ง
เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนใกล้ตัวที่เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่เราห้ามไม่ได้เมื่อเราดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างดีที่สุดแล้วก็คือ
ถ้าเขาคิดจะทำร้ายตนเองจนเกินที่เราจะเข้าไปเยียวยา
“ก็ต้องปล่อยเขาไป”
คำว่า “สุดท้ายก็ต้องปล่อยเขาไป” มันเคยดังก้องในใจข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้ายังรับไม่ได้กับพฤติกรรมเช่นนั้น
แต่เมื่อวันหนึ่งมันเดินทางมาประชิดตัวจริงๆ
ข้าพเจ้าก็พบว่า คำว่า”สุดท้ายก็ต้องปล่อยเขาไป” มันเป็นคำปลอบโยนที่ดีที่สุดแล้ว
มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปล่อยวางมากขึ้นในวันที่เครียดกับสภาพแวดล้อม
ที่ถูกรายล้อมด้วยความซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคนี้จริงๆ
ข้าพเจ้าขอพรพระด้วยความเชื่อมั่นว่า
ถ้าพระองค์เห็นสมควร เขาจะต้องหายจากโรคที่พาให้ดวงใจหดหู่นี้ไปให้จนได้
ข้าพเจ้าพยายามใส่ความรักของพระเจ้าลงในใจเขา
แม้ความรักของเขายังเป็นรักที่มีเงื่อนไขอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ด้วยความหวัง ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของพระเจ้า
แผนการให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จักโรคนี้อย่างชิดใกล้
แผนการให้เขาผู้ป่วยได้เข้ามาอยู่ในรังสีของความรักของพระเจ้า
ผ่านสมาชิกในครอบครัวของข้าพเจ้า
แล้วสักวันหนึ่ง
“ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย
เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์”
(1 โครินธ์ 15:26)
..................................... |