“ไม่มีสรรพสิ่งใดๆจะพรากเราได้
จากความรักของพระเจ้า
ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
(โรม 8:39)
ช่วงวันหยุดยาว 4 วันที่ผ่านมา
กิจวัตรของข้าพเจ้าคือตื่นเช้าขึ้นมาตระเตรียมอาหารให้สมาชิกในบ้าน
ก่อนออกไปสวนเพื่อเตรียมแปลงปลูกผักรวมถึงถอนหญ้าในสวนด้วย
ในช่วงกลางวันที่อากาศร้อนอบอ้าว
ข้าพเจ้าจึงกลับเข้าบ้าน เก็บบ้านบ้าง นั่งฟังเพลงบ้าง และเปิดFacebookดูบ้าง
หน้าFacebookเต็มไปด้วยภาพที่แสนสดชื่นรื่นเริงของเพื่อนๆกับกิจกรรมการท่องเที่ยว
บางคนไปทะเล บางคนไปน้ำตก บางคนไปเหนือ บางคนลงใต้
ข้าพเจ้านั่งมองภาพสวยๆของเพื่อนๆตามสถานที่ต่างๆมากมาย
แล้วก็แอบเอามาเปรยๆกับสามีว่า “ดูสิ ใครๆก็เที่ยวในวันหยุดกันหมดเลย
ทำไมพี่ถึงไม่พาน้ำผึ้งไปพักผ่อนแบบนี้บ้างนะ”
แต่ใจก็รู้ว่าตัวเองเปรยๆไปแบบนั้นเอง
เพราะเราก็รู้ขอบเขตของตนเองในการจับจ่ายใช้สอยของครอบครัวดี
สำคัญคือครอบครัวเราไม่ชอบการจราจรที่คับคั่งในช่วงวันหยุดยาวเช่นนี้
สามีตอบว่า “เราก็เที่ยวสวนเกษตรของเราหน้าหมู่บ้านไง”
สวนเกษตรหน้าหมู่บ้านของเราที่เราใช้แรงกายอาบเหงื่ออย่างหนัก
ในช่วงหยุดยาวโควิดที่ผ่านมาในการตระเตรียมแปลงผักจนสวยงาม
บางทีข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่คือการพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ
อย่างที่สามีของข้าพเจ้ากล่าวไว้กระนั้นหรือ
ล่วงเข้าสู่วันสุดท้ายของการหยุดยาว
ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าจะได้ไปพักผ่อนที่ไหนไกลไปกว่า
สวนเกษตรหน้าหมู่บ้านของตน
จึงแอบเกริ่นๆสามีว่า เราพาลูกๆไปกินข้าวที่ห้างกันไหมเที่ยงนี้
เมื่อการขออนุญาตประสบความสำเร็จ
เราจึงได้ยกครอบครัวตัวน้อยของเราไปห้างเล็กๆแถวบ้าน
เดินหาซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคตามจำเป็นเพื่อสมาชิกในบ้าน
ถ่ายรูปกับครอบครัวที่ลูกๆกำลังเป็นวัยรุ่น ภาพก็จะออกมาสดชื่นรื่นใจหน่อย
ปกติการเดินห้าง สามีของข้าพเจ้าจะเดินได้ไม่ถึงชั่วโมง
ก็จะเดินออกไปยืนกดดันรอกลับแล้ว
แต่วันนี้ ฝนตกหนักมากหลังจากที่เราเดินเข้าห้าง
ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสเดินเตร็ดเตร่ตากแอร์กับลูกๆอย่างเต็มที่
กลับถึงบ้าน รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย ผ่อนคลาย สุขใจ
ไม่ใช่สุขเพราะไปเที่ยว แต่สุขเพราะเห็นลูกๆคุยเล่นกันตลอดทางเดิน
สุขที่ได้ยินเสียงหัวเราะของลูกๆเวลาอยู่รวมกัน เล่นกัน
สุขที่สมาชิกในครอบครัวออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์
และมาคุยแบ่งปันความสนุกสนานของสิ่งที่ได้พบเจอกันมา
ข้าพเจ้าคิดถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาเมื่อความรู้สึกสุขใจ อิ่มเอมใจ
“พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ”
ทันเวลาทุกครั้งในขณะที่ใจข้าพเจ้ารู้สึกไม่สมบูรณ์
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีสิ่งใดเลย
ที่จะมาพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้
และก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะมาพรากความรักของพระเจ้าไปจากเรา
เพราะทุกครั้งที่ดวงใจหดหู่ พระองค์จะทรงเยียวยารักษา
และการเยียวยารักษาที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตแต่ละครั้ง
พระองค์ก็ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าสัมผัสได้
ถึงความรักของพระเจ้าในตัวของเพื่อนมนุษย์ที่มีต่อข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน
“ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้”
(โรม 8:35)
วัยรุ่นหญิงป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
เธอรักษาตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ในระยะแรกของการรักษา บุคลิกภาพของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
อาจจะด้วยตัวยาที่ไปกดระบบประสาทของเธอ
ทำให้เธอมีสภาพกึ่งรู้ตัวและไม่รู้ตัว เหม่อลอย และอารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยพื้นฐานของโรคแล้วคือ อารมณ์เศร้า คิดลบอยู่เสมอ
มองไม่เห็นคุณค่าของตนเอง เก็บเอาอดีตที่เลวร้ายขึ้นมาย้ำคิดย้ำพูด
คิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น
หรือบางทีก็คาดหวังอย่างหนักว่าคนอื่นจะต้องไม่ทำให้ตนเสียใจ
ระยะหลังๆมานี้ เธอเริ่มมีอาการดีขึ้นมาก
และเธอปรารถนาจะเรียนคำสอน แม้ข้าพเจ้าจะยังรู้สึกว่าเธอไม่น่าจะพร้อมที่จะเรียนรู้
และเนื่องจากข้าพเจ้าเคยย้ำเธอหลายครั้งว่า
พระเจ้าสอนว่า การทำร้ายตนเองเป็นบาปที่หนักมาก
เธอพยักหน้ารับรู้ แม้ใจหนึ่งข้าพเจ้ายังรู้สึกไม่มั่นใจที่จะให้เธอเรียนคำสอน
แต่อีกใจหนึ่ง ข้าพเจ้าก็คิดถึงการอัศจรรย์ของพระคริสตเจ้า
ที่จะทรงกระทำต่อเธอในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ด้วยความรักของพระองค์ และสภาพแวดล้อมของความรัก
ที่อบอวลอยู่ในหมู่มวลวิถีชีวิตของคริสตชนรอบข้าง
แม้ปัจจุบัน เธอจะดีขึ้นมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ คือ
เมื่อเธอถูกขัดใจ หรือถูกทำให้เสียใจ หรือเกิดความคับข้องใจ
เธอก็จะยังคงทำร้ายตัวเองอยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรงเท่าที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าจึงหวังแต่เพียงว่า
ความรักของพระเจ้าจะเยียวยาจิตวิญญาณของเธอได้
และพระองค์จะทรงทันเวลา และเลือกหนทางที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับทุกคนที่รัก และเดินอยู่ในหนทางของพระองค์
“องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ใกล้ชิดทุกคนที่เรียกขานพระองค์
ทุกคนที่เรียกขานพระองค์ด้วยใจจริง
พระองค์ทรงตอบสนองความปรารถนาของทุกคนที่ยำเกรงพระองค์
ทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือ และทรงช่วยเขาให้รอดพ้น”
..................................... |