“ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา

ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา”

(มัทธิว 10:38)

ที่ค่ายสัมมนามีกิจกรรมนันทนาการภาคค่ำ

ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ปลดปล่อยก่อนไปนอน

ผู้นำนันทนาการให้ครูพับกระดาษแบ่งออกเป็น 8 ช่อง

และในแต่ละช่องผู้นำจะให้ครูเขียนคำตอบตามคำสั่งของผู้นำ

1ใน 8 ของช่องมีคำถามว่า....

ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังจะตาย   คุณอยากจะทำอะไรก่อนตายมากที่สุด

แน่นอนหลายคนตอบว่ากลับไปหาคนที่ตนรัก อยู่กับครอบครัว หรืออะไรก็แล้วแต่

ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าคิดในใจแว๊บแรกสมองก็ให้คำตอบเช่นนั้นเหมือนกันจริงๆ

ข้าพเจ้าคิดถึงครอบครัว และบุคคลอันเป็นที่รัก

แต่เมื่อข้าพเจ้าคิดไตร่ตรองใคร่ครวญดูดีๆ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า

สิ่งสำคัญที่สุด ณ วินาทีแห่งความตายนั้น

ข้าพเจ้าควรจะร่ำร้องหาพระมิใช่หรือ

ข้าพเจ้าจึงลงข้อความคำตอบในช่องนั้นไปว่า  “แก้บาปและรับศีลเจิมฯ”

จะมีสักกี่คนที่มีบุญได้แก้บาป และรับศีลเจิมฯ เตรียมตัวตายอย่างดี

ข้าพเจ้าขอแค่นั้นจริงๆ

ทุกครั้งที่สวดบทเยซู มารีย์ ยอแซฟ ข้าพเจ้าก็คิดถึงการขอให้ตายดีทุกครั้ง

หลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ข้าพเจ้าขึ้นห้องพัก

ในช่วงที่รอพี่ที่พักคู่กับข้าพเจ้าเข้าอาบน้ำ

ข้าพเจ้าเปิดไบเบิ้ลไดอารี่อาทิตย์ที่  28 มิถุนายน 2563 อ่านออกเสียงเบาๆ ช้าๆ

และคิดไตร่ตรองตามหาคำที่น่าจะโดนใจในวันนี้เสียหน่อย

พลันพระวาจาในวันนี้ก็เตือนใจข้าพเจ้าว่า

“ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา

ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา”

(มัทธิว 10:37)

ทำให้ข้าพเจ้าย้อนกลับไปคิดถึงกิจกรรมเมื่อภาคค่ำที่ผ่านมาจริงๆ

มีคำอธิบายว่าในบริบทสมัยพระเยซูเจ้านั้น

พระองค์ถูกต่อต้านจากหลายๆคน จนบางทีผู้ที่ติดตามพระองค์เองก็ประสบปัญหาด้วย

อาจจะด้วยสภาพแวดล้อมในครอบครัวที่มีพ่อแม่หรือลูกต่อต้านพระเยซูเจ้า

จึงทำให้การติดตามพระเยซูเจ้า หรือการเป็นสาวกของพระองค์นั้น

ต้องมีอุปสรรค เพราะเห็นแก่คนในครอบครัว

แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งคือ พระองค์ต้องการเตือนใจเราให้เราสำนึกเสมอว่า

เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพระเจ้าผู้เป็นที่หนึ่งเสมอ

บิดามารดาคือผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้มีพระคุณที่พระเจ้าทรงส่งมาดูแลเราบนโลกนี้

ท่านก็เป็นผู้นำพระพรพิเศษของพระมาสู่ลูกๆของท่าน

ลูกๆก็เป็นของขวัญที่มีค่าที่พระประทานมาให้ครอบครัว

เพื่อให้ครอบครัวเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์

แต่สำคัญยิ่งคือ บุคคลในครอบครัวรักพระเจ้าเป็นอันดับแรกเหนือสรรพสิ่งบนโลกนี้

และข้าพเจ้าก็ทราบดีว่าการรักพระเจ้าก็เท่ากับการแบกกางเขนอันหนักหน่วงด้วย

แต่กางเขนบนโลกใบนี้ จะค่อยๆนำพาเราให้ไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง

ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ทุกสิ่งล้วนเคยมี เคยเป็น และเคยผ่านมาแล้วในอดีต

มันยังคงล่วงเลยผ่านพ้นมาได้จนถึงปัจจุบัน

แล้วประสาอะไรกับวิถีชีวิตซ้ำๆ ความทุกข์ ความสุข

ที่เคยผ่านมาแล้วของบุคคลในอดีตอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น

แต่ข้าพเจ้าควรจะดำเนินชีวิตให้มีคุณค่ามากกว่าการมีวิถีชีวิตซ้ำๆเหล่านั้นมิใช่หรือ

วัยรุ่นหญิงคนหนึ่งระบายความรู้สึกในใจกับข้าพเจ้า

เธอบอกว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับเธอเลย

เธอทำดีมาตลอดชีวิต แต่ทำไมชีวิตของเธอจึงมีแต่อุปสรรคและสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาตลอด

ในขณะที่คนไม่ดีกลับได้รับแต่สิ่งดีๆมากมาย

มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

ใช่มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราเข้าใจ และเข้าข้างตัวเองเสมอว่า

พระเจ้าของฉัน พระองค์ทรงรักฉัน และเมตตาฉัน

จนลืมไปว่า พระเจ้าผู้ทรงความรักความเมตตาของฉัน

ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันที่ทรงความรักและความเมตตาของคนอื่นๆด้วย

เรานี่เองที่ไม่ยุติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เราอยากแม้แต่จะครอบครองความรัก ความเมตตาของพระเจ้าเพียงคนเดียว

หลายครั้งข้าพเจ้าเองก็ลืมตัวไปเหมือนกัน

เมื่อใครสักคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งๆที่ภาพลักษณ์ชีวิตเขาไม่ได้ดีงามเลย

ข้าพเจ้าก็แอบคิดตำหนิความไม่ยุติธรรมที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยเพียงตานั้น

โดยลืมไปว่า เบื้องหลังของเขานั้นอาจจะพบเจออะไรมามากมายเพียงไหน

และความสำเร็จในชีวิตของเขาที่เราเห็นก็อาจจะเป็นความหวังสุดท้ายในชีวิตเขา

ที่ทำให้เขามีพลังยืนหยัดต่อไปก็เป็นได้

นี่อาจจะทำให้เขาสัมผัสถึงความรักความเมตตาของพระเจ้าเหมือนที่เราสัมผัสก็ได้

ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าพยายามจะไม่พร่ำบ่นต่อกางเขนเล็กๆน้อยๆในชีวิต

ความผิดหวัง ความทุกข์ท้อแท้ที่อาจจะเกิดขึ้นมาเป็นระยะให้ชีวิตดูมีสีสันต์ขึ้น

และหากเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเดินทางอย่างมีความสุข

แม้จะมีกางเขนติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอดเส้นทาง

ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่า “รางวัลของผู้ชอบธรรม”

จะรอผู้ที่มั่นคงบนหนทาง ความจริงและชีวิต จนไปสู่หลักชัยได้อย่างสวยงาม

ไม่ต้องยิ่งใหญ่แบบใครๆ

ไม่ต้องก้าวไกลเหมือนใครเขา

ค่อยๆเดินก้าวแบบของเรา

ที่มีร่มเงาพระนำทาง

.....................................