“ท่านทั้งหลายผู้ถ่อมตน จงเห็นและยินดีเถิด
ท่านทั้งหลายที่แสวงหาพระเจ้า จงมีกำลังใจขึ้นเถิด”
(สดุดี 69:32)
ข้าพเจ้าพบหนังสือเล่มหนึ่งในกองหนังสือเก่า
หนังสือเล่มน้อยเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าสะดุดตากับชื่อบนหน้าปก
“นับหนึ่งใหม่...ไม่เป็นไร” เขียนโดย ปะการัง
ข้าพเจ้าเปิดอ่านเพื่อหาความน่าสนใจในเล่มไปทีละหน้า
จนกระทั่งมาสะดุดใจในการเล่าเรื่องของนักเขียน
ถึงบรรดาคนรอบข้างของเขาซึ่งมีบุคลิกแตกต่างกันไป
ปะการังนำเสนอชีวิตคนที่ถูกกำหนดให้ทำตามความพึงพอใจของคนรอบข้าง
ความฝันของเราแต่ละคนมักถูกกำหนดกฎเกณฑ์
โดยความเห็นชอบจากบุคคลรอบตัว
ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างชีวิตที่ปะการังยกมา
สกาย เป็นเด็กหนุ่มที่เงียบขรึม รอยยิ้มแฝงไปด้วยความเขินอาย
มีคนตั้งฉายาเขาว่า “เด็กในกล่อง”
เพราะเขาเป็นคนขาดความมั่นใจในตนเอง
จะทำสิ่งใดสักอย่างก็จะต้องคอยถามคนรอบข้างเสียก่อนว่าดีหรือไม่
จึงจะลงมือทำได้ เขาไม่เคยโกรธเมื่อถูกล้อเลียนถึงความเขินอายของเขา
ผู้เขียนถามเขาว่า เขาฝันอยากเป็นอะไร
เขาตอบว่า พ่ออยากให้เป็นนักบิน
ปะการังสื่อให้เห็นว่า เขาให้คนรอบข้าง
มีบทบาทมากในการตัดสินใจความฝันของเขา
ซึ่งแท้จริงแล้วเขาอยากเป็นนักเล่นกล เขาเล่นมายากลได้เก่งมาก
แต่แม่ไม่ชอบให้เขาเล่นมายากล
เขาทำทุกอย่างเพื่อความฝันของคนอื่น เพื่อความสุขของคนอื่น
แม้แต่การเลือกเรียนก็เลือกตามเพื่อน
ปะการังเขียนว่า เขาเป็นเด็กอ่อนโยนและขี้เกรงใจอย่างวายร้ายคนหนึ่ง
สกายจึงเป็นเด็กในกล่องที่ขาดความมั่นใจ
ทุกครั้งที่ลงมือทำสิ่งใดเขาต้องแน่ใจว่าทุกคนมีความสุข และชอบในสิ่งที่เขาทำ
เขาต้องได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างเสียก่อนจึงจะกล้ายอมรับตนเอง
สิ่งที่ปะการังถ่ายทอดบุคลิกของสกายออกมาให้ข้าพเจ้าได้อ่าน
มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอ่านเงาของตนเองอยู่
ข้าพเจ้าตีคุณค่าของตนเองจากความคิดของผู้อื่นมาตลอด
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าพเจ้าทบทวนถึงความแตกต่างในแต่ละบุคคล
สกายอาจจะต้องฝึกที่จะออกจากกล่องด้วยตนเองบ้าง
โดยไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดกล่องและชี้นำทางให้อยู่ตลอดเวลา
แต่คนที่อยู่นอกกล่อง ผู้มีความมั่นใจในตนเอง
หากปรารถนาจะเปิดกล่องใครสักคนหนึ่ง
ก็จงเปิดด้วยความหวังดี และชี้นำให้เขาเห็นคุณค่าของตนเอง
ความสามารถของตนเอง รวมถึงให้เขาได้ใช้ความสามารถที่เขามีนั้น
เพื่อพัฒนาตนเองต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ข้าพเจ้าอาจจะเป็นเช่นสกายในอดีตที่ผ่านมา
แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้ามีโอกาสที่ดีมากกว่าสกายตรงที่
แม้ข้าพเจ้าอาจจะเป็นเด็กในกล่อง
และหรือคนที่เปิดกล่องอาจจะไม่ได้หวังดีกับข้าพเจ้านัก
แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวข้าพเจ้าภายนอกกล่องที่ดูเวิ้งว้างน่ากลัว
ก็มีพระพรแห่งความรัก รังสีแห่งพระเมตตาของพระฉายแสงนำทางข้าพเจ้าอยู่
ข้าพเจ้าจึงสามารถดำเนินชีวิตอยู่ภายนอกกล่องนั้นได้
อย่างรู้ถึงความเป็นไปกับธรรมดาของโลก
รู้ว่าสิ่งใดควรตัดสินใจด้วยตนเอง และสิ่งใดควรรับฟังผู้อื่นบ้าง
พระวาจาของพระเจ้าหล่อหลอมให้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตอยู่อย่างมี “ชีวิตคิดบวก”
แม้ในบางเหตุการณ์จะทำให้ข้าพเจ้าสะดุดจนต้องมี “ชีวิตคิดลบ” ไปบ้างก็ตาม
“อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้
จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้”
(มัทธิว 10:26)
และ
“อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้”
(มัทธิว 10:28)
เพราะต่อให้เราถูกทำร้ายสักเท่าไหร่ เหมือนที่สกายถูกทำร้าย
แต่หากเรามั่นคงในคุณค่าของความดีงามในตนเองแล้ว
เราก็ถูกทำร้ายเพียงกายเท่านั้น ในขณะที่วิญญาณของเราเข้มแข็งขึ้น
อาจจะทำ ร้ายได้ ก็เพียงกาย
อย่ามั่นหมาย ทำร้าย วิญญาณได้
โอ้...ใจ ข้าเอย จงสู้ไป
อย่าให้สิ่ง เลวร้าย เข้าครอบครอง
มีพระ วาจา คอยชี้นำ
มีพระธรรม นำชีวิต ไม่มัวหมอง
มีความรัก ของพระเจ้า เข้าจับจอง
ชีวิตนี้ ไม่ร้องร่ำ พร่ำสิ่งใด
..................................... |