“อย่ามีใจหยิ่งผยองจนลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน”

(ฉธบ. 8:14)

ถ้าในวันหนึ่งเราได้รับอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น

เราจะยังมีใจที่สุภาพนบนอบหลงเหลืออยู่หรือไม่

เพราะเมื่อพลังแห่งการใช้อำนาจที่เรามีในแต่ละวัน

ค่อยๆบ่มเพาะความแข้งกระด้างของดวงใจให้เติบใหญ่ขึ้น

ความสุภาพนบนอบค่อยๆถูกกลืนกินไปวันละนิดวันละหน่อย

เราจะทำอย่างไรให้ใจสุภาพนบนอบของเรายังคงอยู่กับเราเสมอไป

แม้อำนาจใดๆ ก็ไม่อาจมากลืนกินใจแห่งความสุภาพนบนอบนี้ไปได้เลย

วันหนึ่งเซอร์ที่เคารพรักท่านหนึ่งกล่าวแนะนำข้าพเจ้าแก่เซอร์อีกท่านหนึ่ง

ท่านแนะนำว่า ข้าพเจ้าเป็นครูฝ่ายจิตตาภิบาล

ใช้เวลาทุกนาทีในชีวิตอยู่กับพระวาจาของพระเจ้า

แปลกมาก ข้าพเจ้าแยกแยะไม่ออกระหว่างความดีใจกับความกระดากอาย

ข้าพเจ้าปฏิเสธพัลวันว่าไม่ถึงขนาดนั้นค่ะเซอร์

แต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมาทบทวนชีวิตตนเอง

ข้าพเจ้ามีตารางในแต่ละสัปดาห์ที่ต้องแบ่งให้กับการไตร่ตรองพระวาจา

สิ่งหนึ่งนั้นคือหน้าที่ที่ต้องลงบทความในสารวัด

ความเป็นหน้าที่บางทีมันก็กลายเป็นความน่าเบื่อ

แต่ข้าพเจ้าก็ก้าวข้ามความน่าเบื่อนั้นมาได้ค่อนข้างดีแล้วในระดับหนึ่ง

เนื่องจากข้าพเจ้ามาทบทวนชีวิตตนเองแล้วพบว่า

จริงแท้แน่นอน หากข้าพเจ้าไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในพระวาจาเช่นนี้

แม้อาจจะมาจากการเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ

แต่หน้าที่นี้ก็สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักไตร่ตรองพระวาจาอย่างสม่ำเสมอ มั่นคง

สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักทบทวนชีวิตที่ผ่านมาทั้งดีและไม่ดี

เพื่อมองหาสิ่งที่มีคุณค่าในเหตุการณ์เหล่านั้น

ดังนั้นแล้ว ถ้อยคำที่เซอร์แนะนำข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าดีใจตรงที่ข้าพเจ้าทบทวนชีวิตจากพระวาจาสม่ำเสมอนั่นจริง

แต่ข้าพเจ้ากระดากอายตรงที่ แม้ข้าพเจ้าจะทบทวนชีวิตด้วยพระวาจาสม่ำเสมอ

แต่ในชีวิตจริงข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ชอบเดินหลงทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พอสะดุดหกล้มบาดเจ็บก็ร้องหาพระเจ้าช่วยลูกที

ในวันที่ข้าพเจ้าร้องหาพระเจ้า  ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่าข้าพเจ้าต่ำต้อยมากเพียงใด

แต่ในวันที่ข้าพเจ้าถูกยกจนสูงขึ้นไม่ว่าจะด้วยอำนาจใดๆก็ตาม

ข้าพเจ้าก็ยังควรจะรู้ตัวเองเสมอว่า ต่อให้ตัวข้าพเจ้าเองมีอำนาจด้านใดก็ตาม

แต่อำนาจที่แท้จริงในชีวิตไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เลย

อำนาจบนโลกใบนี้มีเพื่อเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น  มีเพื่อสอนตัวเองให้สุภาพนบนอบเสมอ

ดังนั้น พระวาจาของพระเจ้าจึงเป็นเสมือนโล่ป้องกันวิญญาณ

ให้มีความสุภาพนบนอบมากพอที่จะให้พระเจ้ามีอำนาจเหนือตัวเราเอง

ในทุกกิจการ ทุกเหตุการณ์ ทุกภารกิจ

เพื่อเราจะไม่ใช่อำนาจของตนเองในการไปเบียดเบียน ทำร้ายใคร

และเพื่อเราจะได้ใช้อำนาจของเราในการรับใช้ผู้อื่น

“มนุษย์มิได้มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารเท่านั้น

แต่มีชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

(ฉธบ. 8:3)

พระวาจาของพระเจ้าทุกถ้อยคำจึงมีอำนาจเหนืออำนาจทั้งปวงบนโลกนี้

ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นครูตัวน้อยๆ ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ

แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ามีคือความมานะอดทนในการทำหน้าที่ของตนเองเต็มความสามารถ

หน้าที่ของคริสตชน   หน้าที่ของความเป็นแม่  หน้าที่ของครู  หน้าที่ของเพื่อนร่วมงาน

หน้าที่ของความเป็นพี่เป็นน้อง  หน้าที่ของความเป็นภรรยา  หน้าที่ของความเป็นลูก

และหน้าที่มากมายที่ข้าพเจ้าต้องดูแลรับผิดชอบให้ดีที่สุด

และผิดพลาดน้อยที่สุด ด้วยการทรงนำของพระวาจาของพระเจ้า

ที่จะคอยนำทางข้าพเจ้าไป

สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำคือเปิดตาของดวงใจให้กว้าง และเดินตามไปอย่างซื่อสัตย์มั่นคง

หากจะหลงเดินออกนอกเส้นทางไปบ้างก็ขอให้พระวาจานำพาข้าพเจ้ากลับมา

แม้ในวัน ที่ใจ  ให้อ่อนล้า

พระวาจา  นำพา  ข้ายึดมั่น

แสงเรืองรอง  ส่องสว่าง  ทางชีวัน

ข้าจะบั่น  มุ่งมั่นไป  ให้พบองค์

มีพระคริสต์  นำทาง  กระจ่างใจ

ข้าไม่กลัว  สิ่งใด ให้ลุ่มหลง

มีพระธรรม  นำทาง  ข้ามั่นคง

เพียงพระองค์  ทรงเมตตา  ข้าปลอดภัย

.....................................