““ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น

เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด

และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงใด”

(เอเฟซัส 1:18)

ขอพระโปรด  ประทาน  ตาแห่งใจ

เรียนรู้รัก  ยิ่งใหญ่ ในพระเจ้า

รู้พึ่งพิง  อิงพระ  ผู้บรรเทา

รู้รับเอา  เข้าใจ  ในทางธรรม

แม้เส้นทาง  หว่างชีวิต  ติดโขดหิน

ใจไม่สิ้น  ดิ้นรน  ค้นทางล้ำ

ทางแห่งพระ  เมตตา  พระทรงนำ

เพียงพระคำ  นำทาง  วางใจลง

......................................

เพื่อนมนุษย์ผู้ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ต่อให้เราเก่งแค่ไหน เราก็ยังมีวันอ่อนแอท้อแท้ได้

วันไหนเราอ่อนแอ เราก็ต้องการคนเข้าใจ ให้แสงสว่างชีวิต ให้พลังก้าวต่อไป

วันไหนเพื่อนมนุษย์อ่อนแอ เขาก็ต้องการคนเข้าใจ ต้องการแสงสว่างชีวิตเช่นกัน

วัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง เธอผิดหวังเมื่อรับรู้ว่า

เธออาจจะไม่สามารถเรียนจบพร้อมเพื่อนๆได้

เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพของเธอที่ทำให้การเรียนของเธอต้องชะงักลง

เธอผิดหวังหนักมากเนื่องจากช่วงที่ป่วย วิชานั้นเป็นตัวสุดท้ายเพื่อทำเรื่องขอจบ

เธอป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจนไม่สามารถทำกิจกรรมการฝึกงานร่วมกับเพื่อนๆได้เลย

เธอร้องไห้ พร่ำพูดเพียงแต่ว่าทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับเธอ

ตลอดชีวิตเธอทำแต่ความดี ทำเพื่อพ่อแม่ และคนที่ตัวเธอรักตลอดมา

เชื่อฟังและไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลย

คนที่ทำตัวเลวร้ายตั้งมากมายทำไมเขายังไม่เห็นต้องพบเจออะไรแบบนี้เลย

ทำไมเรื่องร้ายๆจึงต้องเกิดขึ้นกับเธอ  เธอรับไม่ได้

ทำไมเธอต้องป่วย  ทำไมเธอจึงจบพร้อมเพื่อนไม่ได้ ทำไมมันต้องมีปัญหามากมาย

ข้าพเจ้าใจเต้นระทึกด้วยพฤติกรรมของเด็กที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

เมื่อเกิดอาการมักจะคุมสติตัวเองไม่ได้

เธอกำมือแน่น  ตาเหม่อลอย  นั่งตัวเกร็งแข็ง  น้ำตาเต็มดวงหน้า

ใครเรียกก็เหมือนจะไม่รับรู้ ไม่รับฟัง

ข้าพเจ้าให้บุคคลที่คิดว่าเธอรักมากคนหนึ่ง คอยจับมือเธอไว้ เรียกสติเธอกลับมา

เพื่อฟัง และอยู่กับปัจจุบันอย่างเข้าใจ

เธอยังคงพร่ำพรรณนาต่อไป เธอกำลังอยากเรียนคำสอน

แต่พระลองใจเธอแบบนี้ไม่ได้  เธอรับไม่ได้ เธอรับไม่ไหว

ข้าพเจ้าพยายามตั้งสติ และบอกกับเธอว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระลองใจลูกเลยนะ

มันคือความจริงของชีวิตที่ลูกต้องฝึกเรียนรู้เพื่อจะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้

อย่ามองแต่ความทุกข์ของตนเอง

อย่ามองว่าสิ่งที่ลูกพบเจอมันหนักหนาเกินลูกจะแบกรับมันไหว

เมื่อลูกมองคนที่เขามีความสุข สมหวังมากกว่าลูก

ลูกก็มักจะมองตัวเองด้อยคุณค่าลง  เพราะอยากสุขสมหวังแบบเขา

ลูกต้องฝึกมองคนที่เขาสุขสมหวังเพื่อเป็นพลังให้ลูกสู้ไปให้ได้เหมือนเขา

แต่เมื่อลูกทุกข์ท้อแท้ ผิดหวัง ลูกก็ต้องเปลี่ยนทิศทางการมองของลูก

หันกลับไปมองคนที่เขาลำบากยากแค้นมากกว่าลูก ซึ่งมีมากมายจริงๆ

เขายังผ่านช่วงเวลาเลวร้ายในแต่ละวันไปได้เลย

มองหาสิ่งดีๆในชีวิตตัวเอง

เรียนอย่างไรก็จบ เพราะลูกตั้งใจเรียน จะช้าจะเร็วมันก็จบ

มองอนาคตตัวลูกเอง อยากให้เป็นอย่างไร

อยากมีอาชีพที่ดี  สร้างครอบครัวที่อบอุ่น  มีคนที่รักเราอยู่เคียงข้าง

มองไปข้างหน้า แล้วก้าวข้ามผ่านความผิดหวัง ปัญหาไปให้ได้

อนาคตของลูกยังต้องเจอปัญหามากมายนานัปการ

ทุกปัญหาลูกต้องฝึกก้าวข้ามผ่าน หรือแก้ไขมันให้ดีขึ้นตามแต่เหตุการณ์

แล้วลูกจะรู้ว่า เฮ้ย ความจริงปัญหาวันนั้นมันก็แค่เรื่องจิ๊บๆ แค่นี้เอง

ข้าพเจ้ารู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อเห็นเธอเหมือนจะมีสติกลับมาอีกครั้ง

และกำลังพยายามเปิดใจรับฟังในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด

เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงข้อความหนึ่งในหนังสือปัญญาจารย์ ที่บันทึกไว้ว่า

“สิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็จะเกิดขึ้นอีก

สิ่งที่เคยทำแล้วก็จะทำอีก

ไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์

มีสิ่งใดบ้างที่จะพูดได้ว่า ดูซิ สิ่งนี้ใหม่

สิ่งนั้นเคยมีอยู่นานมาแล้วก่อนที่เราจะเกิด”

(ปัญญาจารย์ 1:9-10)

ดังนั้นแล้ว ในอดีต ผู้คนเคยลำบากตรากตรำ หรือประสบปัญหาด้วยเหตุใดๆ

เราผู้ซึ่งเกิดมาทีหลังก็ไม่มีความยากลำบากใดๆ ที่บุคคลในอดีตผ่านมาไม่ได้

ไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์จริงๆ

ดังนั้นแล้ว เมื่อข้าพเจ้าประสบพบเจอปัญหา

ข้าพเจ้ามักบอกกับตัวเองเสมอว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

เราทำในทุกเวลา ทุกวินาที ของเราให้เต็มที่ก็พอ

สุข ทุกข์ ผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป ไม่มีอะไรใหม่ สุดท้ายก็ผ่านไป

เหมือนบทเพลง “สักวันแล้วมันจะผ่านไป”

ที่ คุณโต๋ (ศักดิ์สิทธิ์  เวชสุภาพร) ขับร้องไว้ว่า

“.....ว่าสักวัน แล้วมันก็ผ่านไป

ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ เกิดขึ้นแล้วจากไป

สักวัน น้ำตาจะหยุดไหล

สุขทุกข์ร้ายดีเท่าไหร่ สุดท้ายก็ผ่านไป....”

มั่นใจในพระเมตตา

นำพาชีวิตก้าวไกล

ปัญหาหนักหนาเพียงใด

ก้าวไปด้วยใจมั่นคง

.....................................