“ขโมยย่อมมาเพื่อขโมย  ฆ่าและทำลาย”

(ยอห์น 10:10)

พ่อเล่าให้ฟังว่า มีเรื่องเล่าชวนคิดเกี่ยวกับวิกฤตโลกในช่วงนี้

พ่อเล่าว่า “ปีศาจมันหัวเราะเยาะพระเจ้า

ที่มันสามารถทำให้ผู้คนละทิ้งพระเจ้า ไม่สามารถไปวัดได้

แต่พระเจ้าตรัสขอบใจปีศาจว่า

แม้ผู้คนจะไม่สามารถไปวัดได้ แต่เจ้าทำให้วัดไปอยู่ในทุกบ้าน ทุกการสื่อสาร”

มีบทความข้อคิดจากพระสันตะปาปาฟรังซิส

ซึ่งข้าพเจ้าได้อ่านใน Pope Report ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2017

หัวข้อว่า “อย่าไปคุยกับปีศาจ” มีใจความโดยย่อว่า

“มนุษย์ผู้อ่อนแอ ไม่ควรแม้แต่จะเริ่มพูดคุยกับปีศาจ

เหมือนดังเช่นที่เอวาเริ่มสนทนาพูดคุยกับมันในอดีต

เพราะแค่เริ่มต้นคุยเราก็แพ้แล้ว เหมือนที่เอวาพ่ายแพ้แก่มัน

แต่จงขอพลังจากพระเจ้าเหมือนตอนที่พระเยซูเจ้าถูกประจญจากปีศาจ

พระเยซูเจ้าทรงใช้พระวาจาของพระเจ้าเพื่อตอบโต้มัน”

.............................

จริงแท้แล้วที่ว่า....

ปีศาจเป็นเสมือนขโมย ที่มาเพื่อขโมยความสันติสุข

ฆ่าวิญญาณมนุษย์ และทำลายพระอาณาจักรแห่งรักของพระเจ้า

..........................

“ท่านเคยเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงจากฝูง

แต่บัดนี้ กลับมาหาผู้เลี้ยง และผู้ดูแลวิญญาณของท่านแล้ว”

(1 เปโตร 2:25)

ข้าพเจ้าเคยเขียนบทความ “บทเรียนจากหนอนคืบ” ซึ่งข้าพเจ้ายังนำมาไตร่ตรองชีวิตอยู่เสมอ

ในยามที่ชีวิตรู้สึกสัมผัสได้ถึงความไหวหวั่นในจิตวิญญาณ

อ่อนแอในความเป็นไปของโลก และระแวงในความไว้วางใจ

บทเรียนจากหนอนคืบ

เช้านี้อยู่เวรรักษาการณ์ใต้ต้นจามจุรี

สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆเกาะอยู่ที่พื้น

มันยืนนิ่งเมื่อข้าพเจ้าจ้องมองใกล้ๆ

จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเพิ่มระยะห่างระหว่างเรา

มันจึงเริ่มคืบไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

การคืบของมันดูสั่นเทาขาดความมั่นคง

เหมือนพะวงหน้าพะวงหลัง

ยิ่งคืบยิ่งใกล้ถนนที่คนเดินกันขวักไขว่

อันตรายอยู่แค่เอื้อม...

ข้าพเจ้ายืนสังเกตว่ามันจะคืบไปไหนต่อ

โดยยืนกั้นขวางทางคนเดินไว้

ไม่ให้คนเผลอเหยียบมันไปเสียก่อน

แต่ยิ่งคืบก็ยิ่งออกไปหาอันตราย

ข้าพเจ้าใช้ใบไม้เขี่ยหนอนน้อย

ให้กลับเข้ามายังฝั่งใกล้ต้นจามจุรี

มันยืนนิ่งเหมือนถูกศัตรูรุกรานอยู่พักใหญ่

ก่อนจะคืบไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าต่อไป

.........

พระเจ้าพยายามเข้ามาใกล้ลูกของพระองค์

พยายามดูแลปกป้องโดยที่ลูกไม่เคยรับรู้เลย

ลูกยังคงเดินไปตามเส้นทางที่ใจปรารถนาจะไป

โดยไม่สนใจว่าทางนั้น

มีอันตรายใดแอบแฝงอยู่

พระองค์มองดูและช่วยเหลือ

แต่อิสระและอำเภอใจก็ยังเป็นของลูก

เมื่อพระองค์วางลูกลง

ลูกก็ยังคงเดินไปตามใจปรารถนาเช่นเดิม

และยังคงเห็นพระองค์เป็นคนแปลกหน้า

หรือเป็นศัตรูไปเสียอีกด้วย

อันที่จริง...

ลูกก็ไม่ต่างอะไรจากหนอนคืบเชื่องช้า

ไร้ความไว้วางใจตัวนั้นหรอก

.....................................................................

ในช่วงวิกฤตของมนุษยชาติ ที่ทำให้กระบวนการและวัฏจักรชีวิตของมนุษย์

ถูกกระทบกระเทือน  สูญเสีย ชะงักงัน

มันเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนใจคริสตชน และข้าพเจ้าว่า

มนุษย์ไม่ได้มีอำนาจเหนือธรรมชาติหรือเหนืออำนาจของพระเจ้าเลย

เราไม่สามารรถกำหนดชะตาของตนเองได้

และ “หากไร้พระองค์ลูกคนไม่อาจทำสิ่งใด”

สิ่งหนึ่งที่เตือนใจเราก็คือ การขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเรา

ให้ลมหายใจใหม่แก่เราในการแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง

ให้ความมั่นคงในความเชื่อที่ควรจะเพิ่มพูนทวีขึ้น

ท่ามกลางเหตุการณ์เลวร้ายที่แฝงด้วยข้อเตือนใจมากมาย

“ฝากชีวิตไว้ มอบให้พระองค์แลดู”

.....................................