มารธาและมารีย์ส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า….
“พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำลังป่วย”
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า
“โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย
แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า...”
(ยอห์น 11:3-4)
ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ใจมากเมื่อเปิดพระวาจาขึ้นมา
ซึ่งเป็นพระวาจาที่ข้าพเจ้าต้องไตร่ตรองล่วงหน้าของมิสซาวันอาทิตย์ที่จะมาถึง
ในช่วงที่โรคไวรัสโควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนักทั่วทุกมุมโลก
ทั้งผู้ป่วย คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือคนปกติ
ต่างก็จิตตก ระแวง สงสัยไม่มั่นใจในกันและกันไปหมด
ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความของ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
ซึ่งเขียนข้อความสั้นๆ ไว้ในหัวเรื่อง “เราได้อะไรจาก Covid 19”
พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา เขียนไว้ว่า
“ธรรมชาติกำลังทำความสะอาดโลกเรา
อากาศรอบโลกเราค่อยๆสะอาดขึ้น จากการที่เครื่องบินลดไฟลท์บิน
ทะเลสะอาดขึ้น จากนักท่องเที่ยวลดลง เรือสำราญ และเรือนักท่องเที่ยวลดการทำให้ทะเลสกปรก
เสียงดังบนถนนลดลง อากาศควันพิษบนถนนน้อยลง
ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
ประชาชน เริ่มหาวิธีการแก้ไขปัญหาให้ท้องถิ่นตัวเอง ครอบครัวตัวเอง
คนล้างมือกันมากขึ้น
คนเริ่มใส่ใจในการดูแลตนเองมากขึ้น
พฤติกรรมของการกิน เริ่มเปลี่ยนไป
พฤติกรรมของการทักทายเปลี่ยนไป
การสร้างวัตถุ ทะยอยช้าลง
เราหายใจด้วยความระมัดระวังและมีสติมากขึ้น
สงครามหยุดลงชั่วคราว
การก้าวล่วงซึ่งกันและกันน้อยลง
การเที่ยวตามแหล่งบันเทิง แหล่งอบายมุข สถานเริงรมย์น้อยลง”
…………………
และอีกช่วงหนึ่งของข้อเขียนในการเพิ่มพลังงานบวกให้โลก
ของ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา ซึ่งเขียนเอาไว้ได้อย่างสวยงามว่า
“ไวรัสCovid-19 คงเป็นมาตรการแรกที่จะจัดการระเบียบโลก
ยังมีมาตรการระดับ 2,3,4 ..... ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าโลกนี้จะเป็นระเบียบ
ข้อแนะนำ…เพิ่มพลังงานบวกให้โลกนี้
1. มอบความรักความเมตตาให้แก่กันและกัน
2. ให้อภัยแก่กันและกัน
3. สร้างความพอดีให้ตัวเองให้มากที่สุด
4. ดูแลธรรมชาติและสรรพสิ่งบนโลกนี้ ให้ดีขึ้น
5 ดูแลโรงงานที่ธรรมชาติหรือพระเจ้าที่สร้างให้มนุษย์
โรงงานที่เราเอาขยะและของเน่าๆของเสียที่เราทิ้งแล้ว
ไปแปรรูปเป็นอาหารอย่างดีมาให้เรา
ดูแลโรงงานนั้นให้ดีหน่อย โรงงานที่ว่านั้นคือต้นไม้ ไม้ผล
พระเจ้าหรือธรรมชาติสร้างให้มนุษย์มีกินตลอดปี
ไม้ดอกให้ความงามตลอดปี เคยขอบคุณต้นไม้บ้างไหม ?
เคยขอบคุณธรรมชาติหรือพระเจ้าของเราบ้างไหม
ถ้าเราไม่เคยสำนึกในบุญคุณ ไม่ตอบแทนบุญคุณ เราจะเรียกคนประเภทนี้ว่าอะไร ?
6 รู้จักคิด พิจารณา ชื่นชมตัวเองและชื่นชม ยกย่องผู้อื่น
โดยเฉพาะธรรมชาติหรือพระเจ้าที่ให้ชีวิตเรามา
ให้สรรพสิ่งต่างๆบนโลกนี้อย่างเหลือคณานับ”
“พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เราไม่ได้บอกท่านหรือว่า
ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า’”
(ยอห์น11:40)
ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอยู่เหนือวิถีชีวิตของสรรพสิ่งบนโลก และจักรวาล
พระองค์ทรงทราบว่าสิ่งใดเหมาะสมในเวลาใด
และทรงจัดระเบียบวิถีชีวิตของสรรพสิ่งอย่างสวยงาม
มนุษย์มักสร้างสรรค์สรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยความทะนงตนว่าเก่ง
แต่ไม่สามารถจัดระเบียบวิถีชีวิตของมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความผิดพลาด
ที่เกิดขึ้นจากสรรพสิ่งสร้างที่ตนสร้างขึ้นมาได้
มนุษย์สร้างสรรพสิ่งเพื่อสนองความต้องการของตนเอง
และก็ทำลายตนเองจากสรรพสิ่งสร้างเหล่านั้น
ในขณะที่ธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างพยายามเยียวยาตัวเองเพื่อมนุษย์
ในช่วงที่มนุษยชาติต้องเก็บกักตัวอยู่ที่บ้านเพื่อให้โลกจัดระเบียบของมันเสียใหม่
คริสตชนคนของพระเจ้าย่อมต้องมีความหวังใหม่อยู่เสมอ
ที่จะกลับตัวกลับใจโดยเฉพาะในเทศกาลมหาพรตปีนี้
ซึ่งมีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่เข้ามาสอนใจเราอย่างชัดเจน
เราต้องออกจากตัวเอง ใส่ใจคนรอบข้างในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
รับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวมมากขึ้น
มีความหวังที่จะรอคอยอรุณรุ่งของเช้าวันใหม่ที่จะเกิดขึ้น
อรุณรุ่งของโลกที่ถูกจัดระเบียบเอาไว้อย่างงดงามอีกครั้ง
เอาใจใส่ชีวิตผู้อื่นเหมือนที่เราเอาใจใส่ชีวิตตนเอง
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าวางใจ
จิตใจข้าพเจ้ามีความหวัง ข้าพเจ้ารอคอยพระวาจาของพระองค์
จิตใจข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ”
(สดุดี130:5-6)
สรรพสิ่งสรร สร้างไว้ ให้รักษา
รู้คุณค่า วันเวลา ที่ผ่านผัน
ระเบียบโลก จัดวางไว้ ให้ครบครัน
มนุษย์นั้น นั่นหรือ ถือครอบครอง
ผู้ยิ่งใหญ่ คือใคร ให้กำหนด
พระทรงปลด อัครฐาน งานฉลอง
ทุกสิ่งสร้าง ของพระเจ้า เราตรึกตรอง
น้อมใจซ้อง สรรเสริญ เทิดเทินองค์
..................................... |