“ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว

แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ”

(ยอห์น 9:34)

เมื่อคนตาบอดแต่กำเนิดถูกชาวฟาริสีขับไล่เพราะเขาชี้แจง

สิ่งที่พระเยซูเจ้ากระทำสำหรับเขาและสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น

ชาวฟาริสีไม่พอใจ และดูถูกชายตาบอดแต่กำเนิดที่กลับมามองเห็นอีกครั้ง

ว่าเขาเกิดมาในบาปทั้งตัว   ตาบอดก็เป็นบาปหรือ?

ชายตาบอดมิได้สั่งสอนพวกเขา เพียงแต่เขาต้องการบอกในสิ่งที่เขาได้สัมผัสมา

มีใครคนหนึ่งเคยบอกกับข้าพเจ้าว่า

ดูสิ โลกเราใกล้ถึงกาลอวสานโลกแล้ว

ทั้งโรคระบาดที่มันพัฒนาตัวเองขึ้นให้ร้ายแรงกว่าในอดีต  ทั้งปัญหาด้านจิตใจของมนุษย์

ที่แสดงออกผ่านโรคทางจิตเวช  ทางความรุนแรงที่ยิ่งวันยิ่งมากขึ้น

และใครคนนั้นก็บอกกับข้าพเจ้าว่า

คนบาป คนชั่วจะถูกทำลายล้างแล้ว

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว  ในฐานะที่ข้าพเจ้าเองก็เป็นคนบาป คนชั่วคนหนึ่ง

ที่มีความหวังในการกลับตัวกลับใจในทุกๆวัน

แต่คำว่าคนบาป คนชั่ว ในความหมายของคนแต่ละคนที่ตีความเอาไว้

คงให้ระดับความเข้มข้นของความชั่วไม่เท่ากัน

บางคนแค่คิดก็ชั่วแล้ว บางคนแค่พูดก็ชั่วแล้ว บางคนชั่วเพราะเราเห็นจากการกระทำ

จะอย่างไรก็ตาม เรามักมองดูความชั่วของคนอื่นมากกว่าจะเห็นความชั่วของตนเอง

เรามักเรียกร้องให้คนอื่นกลับตัวกลับใจ

ในขณะที่ตัวเราเองยังไม่ได้กลับตัวกลับใจเลย

ซ้ำร้าย เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเราเองชั่วร้ายเพียงใด

คนชั่ว คนบาป ยังไม่น่าสงสารเท่าคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองมีความชั่ว หรือมีบาปอะไรบ้าง

คนชั่วคนบาปที่มีจิตใจสุภาพอ่อนน้อมพอที่จะยอมรับผลของความผิดบาปของตนเอง

ย่อมได้รับความเมตตาสงสาร และการอภัย

ข้าพเจ้าคิดถึงบรรดาคนยากจนที่เราจะเห็นบุคลิกลักษณะของเขาที่แสดงออกมา

ถึงความเจียมเนื้อเจียมตัว

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงของผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

สิ่งที่ข้าพเจ้าควรจะกระทำก็คือ ควรจะอยู่ในมุมหลืบของตัวเอง

เพราะข้าพเจ้ารู้สึกเขินอาย ประหม่าที่จะวางตัวในวงที่ดูเหมือนจะสูงกว่าข้าพเจ้าในทุกมิติ

ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการคอยเป็นผู้รับใช้ อยู่ในมุมของตัวเองน่าจะเหมาะสมกว่า

ข้าพเจ้าจึงเข้าใจเสมอว่า ทำไมผู้ยากไร้จึงต้องดูสุภาพเจียมตนอยู่เสมอ

และทำไมพวกเขาจึงได้รับความเมตตาสงสาร และการช่วยเหลือเกื้อกูล

เพราะพวกเขาน่ารัก เพราะพวกเขาสุภาพนบนอบถ่อมตน เพราะพวกเขามีใจบริสุทธิ์

“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ

ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด

พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี

ทรงนำข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ

                                                     เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า”

(สดุดี 23:1-3)

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาผู้ตกทุกข์ได้ยาก คนบาปและคนป่วย

ทรงเป็นสายน้ำเย็นรินรดใจผู้ทดท้อ อ่อนล้า

ทรงเป็นอาจารย์แพทย์ที่คอยเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยทั้งฝ่ายกายและฝ่ายใจ

ในช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกนี้

ทุกฝ่ายต่างเฝ้าระวังการแพร่กระจายของโรค รวมทั้งเฝ้าระวังตัวเองและคนใกล้ตัวด้วย

ต่างคนต่างดิ้นรนต่อสู้ทั้งภัยโรคร้ายและภัยสังคม

ทั้งจากภัยเศรษฐกิจและภัยของข่าวสารที่ยากต่อการแยกแยะความจริงความเท็จ

แต่ในชุมชนคริสตชน ข้าพเจ้ากลับพบความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางภัยร้ายเหล่านั้น

บทภาวนาเพื่อให้เราผ่านช่วงเวลาของความทุกข์ยากไปด้วยกัน

ก็ถูกร้อยเรียงขึ้นเพื่อให้เราได้ภาวนาเป็นพิเศษสำหรับกันและกันและสำหรับโลกของเรา

การติดตามข้อมูลข่าวสารของพี่น้องคริสตชน และพี่น้องต่างความเชื่อ

ที่กำลังประสบภัยร้ายนี้ไปด้วยกัน

ในเวลาแห่งความทุกข์ยากและคลุมเครือนี้

เราอาจจะหาความกระจ่างหรือความชัดเจนของสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ไม่ได้เลย

แต่เราก็เชื่อและวางใจในการทรงนำของพระเจ้าสำหรับเราเสมอ

ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา คือสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

“พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำหรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู

ทรงเทน้ำมันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า

ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่

พระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์จะติดตามข้าพเจ้าไปทุกวันตลอดชีวิต”

(สดุดี 23:5,6)

ท่อนหนึ่งของบทเพลง “โรคร้ายในวิญญาณ” ของ พ.อานามวัฒน์

ซึ่งข้าพเจ้าร้องตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และชื่นชอบเนื้อหาของเนื้อเพลงนี้มาก

เพราะมันคอยเตือนใจให้ข้าพเจ้า

ให้รู้จักเฝ้าระวังและมองดูแผลร้ายในวิญญาณของตัวเอง

ที่มันร่ายกาจกว่าโรคร้ายฝ่ายกายยิ่งนัก

“โรคร้ายเร้ารุมสุมในกายา   สูญสิ้นเงินตราเยียวยารักษาเพียงกาย

ต้องทนจนถึงวันชีพวาย    ในวันสุดท้ายต้องตายแม้นไม่ต้องการ

แต่โรคร้ายฝ่ายใจแม้นไม่ดูแล    ทิ้งให้เป็นแผลยังแต่แพ้พ่ายหมู่มาร

หากใจไร้องค์คงต้องร้าวราน   ช่างทรมานวิญญาณที่ไร้ความดี......”

.....................................