“จิตใจของเราทั้งหลายกำลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและทรงเป็นโล่ป้องกันภัยของเรา”

(สดุดี 33:20)

จิตใจของมนุษย์นั้นแสนอ่อนแอ

ข้าพเจ้าเองก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจอ่อนแอคนหนึ่ง

ที่เคยตกอยู่ในบาปหยาบช้ามาเหมือนกัน

แม้เราไม่อาจจะชั่งวัดความหนักเบาของบาปที่ตนเคยกระทำได้

ว่ามากหรือน้อยกว่าคนอื่นแค่ไหน

แต่เราก็ประเมินตนเองได้จากเสียงของมโนธรรมในใจตัวเอง

ว่าเราทำสิ่งที่เลวร้ายลงไปมากน้อยเพียงใด

แม้หลายครั้งที่เราก็ปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรนะ แค่ครั้งเดียว

เดี๋ยวทำดีชดเชยเอาก็แล้วกัน

แต่ความเลวร้ายมันกลับแตกยอดเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนความดีที่จะชดเชยก็ลุกขึ้นต้านไม่ไหว

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยผิดพลาดย่อมต้องการการอภัย

แต่การให้อภัยจะเป็นไปได้ยากสำหรับบุคคลที่มักคิดว่าตนเองไม่เคยผิดพลาด

ตนเองเป็นคนดีบริบูรณ์ ไม่เคยบกพร่องสิ่งใด

ในฐานะผู้ที่เคยผิดพลาดข้าพเจ้าจึงยังรู้สึกว่าการให้อภัยไม่ใช่เรื่องยากเลย

และในฐานะผู้ที่เคยผิดพลาดอีกเช่นกัน

ข้าพเจ้าจึงจะต้องระมัดระวังจิตวิญญาณอันอ่อนแอของข้าพเจ้าไว้เสมอ

ไม่ให้หลงผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนการอภัยก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้

มหาพรตนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่จะเตือนใจข้าพเจ้า

ให้รู้จักอภัยผู้อื่น และอย่าทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก

กลับตัวกลับใจและเชื่อในข่าวดีที่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างชอบธรรม

อิ่มเมตตา...มหาพรต

จงเป็นทุกข์   ลุกร้อน   พรแห่งธรรม

ให้คริสต์   ทรงนำ   ทางล้ำค่า

รู้ตื่นตัว   กลัวบาป   แสนหยาบช้า

รู้พึ่งพา   พระเมตตา   นำพาไป

จะกลับใจ   ใช้โทษบาป   ลูกกราบอ้อน

ทูลวิงวอน  พรพระ   ลด ละ ให้

ยกโทษบาป   ปราบลูก  ปลูกจิตใจ

ให้ผลธรรม  นำทางไป   ในพระองค์

เทศกาล  มหาพรต   ลด เลิก ละ

กลับหาพระ  เมตตา  ข้าฯประสงค์

กลับคืนสู่   พระหัตถ์  พระมั่นคง

จงไม่หลง  ลงทางชั่ว  บาปมัวเมา

“แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำเกรงพระองค์

ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์

เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย

และรักษาเขาไว้ในยามอาหารขาดแคลน”

(สดุดี 33:18-19)

บทเพลงงานปลงศพบทเพลงหนึ่งขับขานไว้ว่า

“ขอพระองค์ได้ทรงเมตตา

แก่เหล่าวิญญาณ์ที่สูญชีพจากไป

โปรดอภัยความผิดล้นเหลือ จุนเจือให้ความคุ้มครอง...”

เพราะสุดท้าย เมื่อชีวิตสิ้นสุดลง

สิ่งที่เหลืออยู่ก็คงเป็นสิ่งที่เรากระทำไว้บนโลกนี้ให้ผู้อื่นกล่าวขานกันต่อไป

เพียงแต่จะเป็นเสียงของความชื่นชมหรือสมเพช

แต่ไม่ช้าเสียงเหล่านั้นก็เลือนหายไป

เหลือไว้แค่เพียงวิญญาณของเราเองที่ยังคงรอรับผลการกระทำของตน

ที่เฝ้าแต่ร้องขอพระเมตตาในนาทีที่ไม่อาจจะเรียกร้องสิ่งใดได้อีกแล้ว

.....................................