พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตานจงไปให้พ้น...”
(มัทธิว 4:10)
ในขณะที่เรากำลังถูกทำร้ายจากใครบางคน
พลันเราก็รู้สึกโกรธแค้นเคือง
สมองเริ่มคิดแผนการการทำร้ายกลับคืน
สิ่งแรกที่เราต้องหยุดคือความคิด เพราะเมื่อเราเริ่มคิด เราก็จะเริ่มวางแผน
แผนการของซาตานที่พร้อมจะทำร้ายซึ่งกันและกัน
ข้าพเจ้าได้อ่านบทความหนึ่งของ คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์
เป็นเรื่องสั้นสอนใจที่ข้าพเจ้ายังคงแชร์ข้ามปีมาเรื่อยๆ
เรื่องมีอยู่ว่า......
“ชาวคริสต์คนหนึ่งเห็นแมลงป่องตัวหนึ่งกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดในน้ำ
เขาตัดสินใจยื่นมือไปให้แมลงป่องเกาะเพื่อช่วยชีวิตมัน
แต่แมลงป่องก็ต่อยเขา เขาก็ยังไม่ย่อท้อยื่นมือลงไปในน้ำอีก
เขาก็ยังถูกต่อย เพื่อนจึงบอกให้เขาหยุดช่วยมันได้แล้ว
แต่ชาวคริสต์คนนั้นตอบว่า ธรรมชาติของแมลงป่องก็คือ ต่อย
ธรรมชาติของคริสตชนคือ ความรัก ทำไมผมต้องทิ้งธรรมชาติของผมที่จะรัก
เพราะเหตุที่ธรรมชาติของมันก็คือต่อย
อย่าเลิกที่จะรัก อย่าเลิกที่จะทำดีนะครับ
แม้ผู้คนรอบตัวเราจะทำร้ายเราก็ตาม เราไม่สามารถห้ามผู้คนไม่ให้ทำร้ายได้
แต่เราสามารถที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่นได้
หันมารักกันดีกว่าครับ เราเป็นผู้คน ไม่ใช่แมลงป่องครับ”
เรื่องสั้นสอนใจนี้ทำให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิเสธการแก้แค้นชิงชังได้ง่ายขึ้น
เพราะ คริสตชนมีหน้าที่ ที่จะ “รัก” แม้จะถูก “ทำร้าย” ก็ตาม
และสำคัญยิ่งทุกครั้งที่ข้าพเจ้าสามารถผ่านความรู้สึกชิงชังนั้นไปได้
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขับไล่เจ้าซาตานชั่วร้ายนั้นให้ออกไปจากชีวิตด้วยเช่นกัน
เหมือนที่พระเยซูเจาทรงเอาชนะเจ้าซาตานจิตชั่วร้ายในครั้งกระโน้น
พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตานจงไปให้พ้น...”
(มัทธิว 4:10)
บางทีเราก็คิดว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
โดยลืมย้อนกลับไปที่ตัวเราเองเช่นกัน เราอาจจะกำลังทำร้ายใครบางคน
ทั้งด้วยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ผ่านทั้งการกระทำและคำพูดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
มีประโยคสอนใจสั้นๆของท่านดาไลลามะ ผู้นำด้านจิตวิญญาณของชาวทิเบต กล่าวไว้ว่า
“ถ้าคุณทำได้ จงช่วยผู้อื่น ถ้าคุณทำไม่ได้ อย่างน้อยจงอย่าทำร้ายผู้อื่น”
“If you can, help others; if you cannot do that,
at least do not harm them.” (Dalai Lama)
การถูกยั่วยุให้โกรธ ให้อิจฉา ให้รู้สึกคับข้องใจ
เป็นกิจการของซาตานที่รู้ว่า ในความอ่อนแอของมนุษย์ คือความรู้สึกและอารมณ์
มันรู้ว่ามันสามารถเอาชนะเราได้ผ่านทางการยั่วยุ การสะกิดความอ่อนแอทางใจ
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเองก็ตกเป็นทาสของมัน
รุ่มร้อน วุ่นวายใจ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เกลียดได้อย่างที่ไม่เคยเกลียดใคร
แต่สิ่งเหล่านั้นกลับย้อนคืนมาในทางเลวร้ายลงไปทั้งสิ้น
ยิ่งรุ่มร้อน วุ่นวายใจก็ยิ่งทรมาน ยิ่งโกรธก็ยิ่งทุกข์ทน ยิ่งเกลียดยิ่งเจอะเจอ
จนกระทั่ง พระวาจาของพระเจ้าค่อยๆเข้ามาเยียวยารักษาข้าพเจ้า
ผ่านบุคคลผู้เป็นแบบอย่างชีวิตที่ดีที่สอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่า
การนิ่งเงียบ และมองสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นอย่างเข้าใจเป็นอย่างไร
และการมีธรรมชาติของความรักเป็นพื้นฐานชีวิต
จะเป็นเกราะป้องกันภัยให้เราได้ดีเยี่ยมขนาดไหน
เพราะ.....“คริสตชน คือคน ของความรัก
มีไหล่ไว้ พิงพัก ยามอ่อนล้า
มีพระพร เป็นมธุรส วาจา
เป็นแหล่ง เยียวยา รักษาใจ
มีพระคริสต์ ใกล้ชิด ชีวิตนี้
เป็นแบบอย่าง ชีวี ชี้ทางให้
คริสตชน คนของพระ คนของใจ
มีความรัก ยิ่งใหญ่ เช่นพระองค์”
..................................... |