“สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน
และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง
คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์”
(1โครินธ์ 2:9)
มีบุคคลบางคนที่เวลาข้าพเจ้าอยู่ใกล้แล้วรู้สึกทึ่งในคำพูดของเขาตลอดเวลา
เขาสามารถสรรหาคำพูดที่บางครั้งข้าพเจ้าคิดไม่ถึงและรู้สึกโดนใจมากๆ
เป็นประโยคที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้นๆ
หากเป็นวัยรุ่นก็จะออกแนวแรงๆ เน้นๆ และตรงเข้าไปที่ใจ
แต่ไม่ใช่เฉพาะบุคคลในวัยที่สูงวัยกว่าข้าพเจ้า แม้แต่เด็กน้อยก็ยังมีคำพูดที่น่าทึ่งด้วย
หลานชายวัยสองขวบนิดๆจอมซนของข้าพเจ้า
กำลังซุกซนหยิบโยนข้าวของกระจัดกระจายไปทั่วห้อง
หลังจากที่ข้าพเจ้ามองดูสถานการณ์แล้วยังไม่มีใครจัดการอะไร
ข้าพเจ้าจึงจูงหลานชายตัวน้อยมองดูที่เกิดเหตุการณ์
ถามถึงสิ่งที่เขากระทำลงไปว่าสมควรหรือไม่
และบอกการลงโทษว่าเขาทำผิดต้องถูกตี ข้าพเจ้าหยิบดินสอไม้แท่งยักษ์ข้างๆตัว
และบอกเขาว่าให้แบมือออกมา ป้าน้ำผึ้งจะลงโทษเด็กซน
หลานชายตัวน้อยแบมือออกมาให้โดยดี ทำหน้าเหมือนรู้ว่าป้าคงจะตีไม่เจ็บ
ข้าพเจ้าจึงลงน้ำหนักมือขึ้นมานิดหนึ่ง หลานชายตัวน้อยจึงกะประมาณความเจ็บผิดไป
เมื่อไม้โดยมือจึงสะดุ้งโหยง ชะงักไปนิดนึง
ทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกกับป้าด้วยสำเนียงเหน่อๆว่า
เวย์ไม่เจ็บครับ เพราะเวย์อดทน แล้วก็ส่งสายตาแป๋วๆใส่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าแทบหลุดหัวเราะออกมา
คำพูดของเสียงน้อยๆ ใจซื่อๆ กับตาใสๆ ของเจ้าจอมซน ทำให้ป้าจำต้องให้อภัย
เมื่อหกปีที่แล้ว ลูกชายคนเล็กของข้าพเจ้าตอนนั้นอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ข้าพเจ้าถามเขาว่า น้องน้ำเสกรักแม่ไหมครับ
เขาตอบข้าพเจ้า ว่ารักครับ
และก็ต้องถามตามสูตรต่อไปว่ารักมากแค่ไหน
ซึ่งคำตอบตามสูตรก็น่าจะต้องรักเท่าภูเขาสูงๆ หรือ เท่าฟ้านภาลัย
แต่น้องน้ำเสกกลับตอบข้าพเจ้าว่า “รักแม่เท่าเมล็ดมัสตาร์ด”
พระเจ้ามักจะตระเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด จนเราคาดไม่ถึงไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์เสมอ
ข้าพเจ้าคิดว่า ผู้ที่รักพระองค์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดีที่สุด
แค่เพียรพยายามจะดีที่สุดในทุกๆวันก็ดีแล้ว
เพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้ว
ถ้าพระเจ้าทรงกางม้วนหนังสือแห่งชีวิตของข้าพเจ้าออกมา
ข้าพเจ้าก็รู้ตัวเองดีว่า ในม้วนหนังสือแห่งชีวิตของข้าพเจ้าที่ผ่านมานั้น
มันเลวร้ายและผิดพลาดมากมายเพียงใดในการดำเนินชีวิตด้วยความประมาท
แต่ที่พระองค์ยังทรงเมตตาข้าพเจ้าอยู่นั้น
เพราะข้าพเจ้าเองก็มั่นใจว่าพระองค์ทรงทราบดีว่า
ข้าพเจ้าพยายามมากเพียงใดที่จะดึงตัวเองกลับมาหาบิดาผู้ใจดี
ท่ามกลางความเลวร้ายของเส้นทางที่พร้อมจะดึงข้าพเจ้าลงไปในหุบเหวลึก
ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่า สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าตลอดมา
คือของขวัญล้ำค่าที่พระทรงมอบให้
เพื่อให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พระองค์ทรงเมตตาสำหรับผู้ที่มีความเพียรทน
จะกลับคืนหาพระองค์เสมอ
ความรักเท่าเมล็ดมัสตาร์ดที่บุตรชายมีให้ข้าพเจ้า
สอนใจข้าพเจ้าให้รู้ว่า ข้าพเจ้าควรจะเชื่อในความรักที่เขามีให้ข้าพเจ้า
เพียงแค่เชื่อจะเห็นความรักของเขาแล้ว
ข้าพเจ้าก็เช่นกัน เพียงแค่เชื่อ ข้าพเจ้าก็จะพบความรัก
และพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้นแล้ว
เด็กชายต่างความเชื่อคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า “ครูรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าสร้างโลก”
ข้าพเจ้าถามกลับไปว่า “ลูกคิดว่าโลกเกิดมาได้อย่างไรหละ”
เด็กชายตอบข้าพเจ้าว่า “เกิดจากกลุ่มแก๊สและฝุ่นผงมารวมตัวกัน”
ข้าพเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกกลุ่มแก๊สและฝุ่นผงหรืออะไรก็ตาม
มันมาจากไหนถึงจะมารวมตัวกันได้ในสภาพที่เหมาะสมจนเกิดเป็นโลกหละ”
เด็กชายตอบว่า “ก็คงเป็นไปเองตามธรรมชาตินั้นแหละครู”
ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า “นั่นแหละครับ ธรรมชาติที่พวกลูกกล่าวถึง
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ที่มนุษย์เรียกว่าธรรมชาตินั่นแหละ
คือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งครู และเราคริสตชนเรียกว่าพระเจ้า”
เพราะทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามองดูธรรมชาติแล้วคิดถึงพระเจ้าพระผู้สร้างอยู่เสมอ
คิดถึงจนไม่เคยสงสัยเลยว่า พระเจ้าสร้างโลกจริงหรือ
เพราะการอัศจรรย์ของธรรมชาติล้วนทำให้ข้าพเจ้ารับรู้
ได้ว่านี่คือสิ่งสร้างอัศจรรย์ของพระองค์
เหมือนที่ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง”
(มาระโก 4:28)
อีกทั้งฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนไป การสร้างสมดุลของโลกที่น่าอัศจรรย์ใจ
ล้วนเป็นผลงานของพระเจ้าพระผู้สร้างและเจ้าชีวิตของเรา
“ขอให้วิถีชีวิตของข้าพเจ้ามั่นคง
ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระองค์”
(สดุดี 119:5)
รักเท่านั้น เท่านี้ หนะเท่าไหน
รักเท่าใจ ใสใส ไม่ไร้ค่า
รักยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ ทรงเมตตา
รักล้ำค่า เกินสรรหา คำบรรยาย
รักพระเจ้า เพราะพระองค์ ทรงรักก่อน
รักอาทร รักคืนย้อน ไม่แหนงหน่าย
รักจึงเชื่อ ด้วยใจ ไม่เสื่อมคลาย
รักจึงหมาย ทางสวรรค์ หมั่นทำดี
รักเท่าเมล็ดมัสตาร์ด
..................................... |