“แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์

เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน

และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

(มัทธิว 5:16)

แสงสว่างของชีวิตคืออะไรกัน ข้าพเจ้าเคยถามตัวเอง

ในวันที่โลกดูริบหรี่ด้วยปมปัญหาสารพันทั้งที่ตัวเองสร้างขึ้น

และบางครั้งข้าพเจ้าก็แอบโทษคนรอบข้างว่ากระทำให้เกิดขึ้น

จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าได้เห็นแบบอย่างของเพื่อนพี่น้องรอบข้างของตนเอง

ที่มีทั้งเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิต หรือบ้างก็เป็นความมืดมิดปกคลุมใจ

เมื่อใครสักคนที่เป็นแสงสว่างผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา

ก็จะทำให้ชีวิตของเราสว่างสุกใสไปด้วย

แต่หากมีใครสักคนที่หว่านความมืดมิดเข้ามาปกคลุมใจเรา

ใจของเราก็จะหดหู่ เหี่ยวแห้ง อ่อนล้า ไร้พลังในการดำเนินชีวิตไปด้วยเช่นกัน

ข้าพเจ้ามีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ศึกษาปริญญาโทมาด้วยกัน

รุ่นพี่ท่านนี้เรียนแผน ข  ส่วนข้าพเจ้าเรียนอยู่แผน ก

เรามีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันอยู่สองสามครั้ง นั่นคืองานรับน้อง

งานไหว้ครู และงานสงกรานต์

การพบเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ข้าพเจ้ากลับสัมผัสได้ถึงแสงสว่างของรุ่นพี่ท่านนี้

ที่ส่องสว่างให้กับใจของข้าพเจ้าในวันที่ใจข้าพเจ้าอ่อนล้า

ข้าพเจ้าจึงเก็บแสงสว่างที่พี่ท่านนี้ส่องเอาไว้เป็นพลังชีวิต

วานนี้ข้าพเจ้าเพิ่งเปิดฟัง ฌอน  บูรณะหิรัญ ซึ่งเป็นนักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ

นักพูดที่พูดแล้วทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมองโลกในแง่บวกมากยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า นี่แหละ กิจการแบบนี้แหละที่เป็นอีกหนึ่งการนำแสงสว่าง

ไปส่องสว่างต่อหน้าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะเมื่อเรารู้สึกว่าใครสักคนเป็นแสงสว่างให้เรา

เราก็อยากจะสัมผัส รู้จัก ติดตามเขาไป เพราะเรามั่นใจว่าเราจะไม่หลงทาง

และทางนั้นก็เป็นทางที่มั่นคงปลอดภัยแน่นอน

พระเยซูเจ้าทรงเน้นย้ำให้คริสตชนทุกคนเป็นแสงสว่าง

และต้องเป็นแสงสว่างที่เสียสละนั่นคือต้องส่องสว่างต่อหน้ามนุษย์

ไม่ใช่ส่องสว่างเฉพาะเพื่อตนเองเท่านั้น

เพื่อให้แสงสว่างของเรา ฉายแสงแห่งรักของพระคริสตเจ้า

ให้คนรอบข้างได้เห็นแสงสว่างนั้น

และรู้สึกอยากจะเดินตาม เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิต

ตลอดเส้นทางที่เลือกเดิน

ข้าพเจ้าอยากเป็นแสงสว่างอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงเป็น

ข้าพเจ้าอยากส่องสว่างเหมือนที่รุ่นพี่ข้าพเจ้าส่องแสงแห่งรักให้ข้าพเจ้าสัมผัส

ข้าพเจ้าอยากมีละอองแสงแห่งชีวิตที่ปลิววิบวาวให้คนรอบข้างสำราญใจ

เหมือนที่ ฌอน บูรณะหิรัญ ได้แบ่งปันโลกแห่งการมองบวกให้กับผู้อื่น

ข้าพเจ้าอาจจะไม่มีพระพรในด้านการพูดเพื่อปรับทัศนคติ

หรือการพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

ข้าพเจ้าอาจจะไม่สามารถแบ่งปันสิ่งดีที่สุดให้กับใครได้มากนัก

แต่ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้รับสิ่งดีๆมา

ข้าพเจ้าก็มีความสุขใจที่จะแบ่งปันมันออกไป

เหมือนที่เมื่อข้าพเจ้าได้รับแสงสว่างแห่งชีวิตมาจากพระคริสตเจ้า

ข้าพเจ้าก็พยายามจะแบ่งปันออกไปเท่าที่ข้าพเจ้าพอจะทอแสงออกไปได้

อาจจะไม่ไกลนัก แต่ก็พอจะช่วยเหลือเพื่อนรอบข้าง

ที่อยู่ในรัศมีอันใกล้ได้ไม่มากก็น้อย

ข้าพเจ้าอยากเป็นแสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อยต่อหน้าเพื่อนมนุษย์

อย่างน้อยก็ทอแสงบางๆให้กับดวงใจที่มืดมิดได้บ้างก็ยังดี

“พระเจ้าทรงส่องแสงในความมืดสำหรับผู้ชอบธรรม”

(สดุดี 112:4)

แต่ถึงกระนั้นก็ดี แบบอย่างที่ดีที่สุด และไม่เคยผิดพลาดเลย

ก็ยังคงเป็นแบบอย่างขององค์พระคริสตเจ้าผู้เป็นแสงสว่างเที่ยงแท้ของเรา

ที่ไม่มีวันมืดดับหรือลดความสว่างของแสงที่มั่นคงเพื่อข้าพเจ้าและคนรอบข้าง

มนุษย์ที่คิดว่าดีแล้ว ยังหลงทางเข้าไปในที่มืดได้

แม้บางคนจะเป็นแสงให้ชีวิตข้าพเจ้าได้

แต่ข้าพเจ้าก็มิใช่จะต้องยึดติดกับบุคคลนั้นเสมอไป

เพียงแค่ข้าพเจ้ามองดูเขาและเรียนรู้วิธีส่องสว่างของเขา เพื่อนำมาพัฒนาตัวเอง

ข้าพเจ้าเคยอ่านบุคคลตัวอย่างในหนังสือเรียนเล่มหนึ่ง

หนังสือเรียนเล่มนี้อาจจะผิดพลาดตรงที่เอาบุคคลตัวอย่างที่ยังมีชีวิตอยู่

มาประกอบการเรียนรู้ด้านคุณธรรม

เพราะบุคคลที่ยังมีชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างไรก็ยังอ่อนแอ มีขึ้นมีลง

ข้าพเจ้าพบว่าบุคคลคนนี้ ภายหลังกลับถูกจองจำในคุก

ข้าพเจ้าจึงทำได้แค่เพียงเก็บละอองแสงแห่งชีวิตของเพื่อนมนุษย์ที่ผ่านเข้ามา

และรับแสงสว่างจากพระคริสตเจ้าที่อาบทออย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เพื่อทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าสว่างพอที่จะแบ่งปันหรือเป็นละอองแสงแห่งชีวิต

ย้อนกลับไประยิบระยับให้กับชีวิตใครบ้างก็พอ

“ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก

เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง”

.....................................