“เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ

เพื่อความรอดพ้นที่เรานำมาให้

จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

(อิสยาห์ 49:6)

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า

เราจะให้ในสิ่งที่เราไม่มีได้หรือ

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จะให้เราเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ

แต่เมื่อเรากลับมาย้อนดูตัวเอง

แสงสว่างในตัวเองยังดูริบหรี่เหมือนเปลวเทียนที่ใกล้จะมอดดับลง

ท่ามกลางสายลมพลิ้วไหวเพียงเล็กน้อยก็มิสามารถต้านทานได้

แสงสว่างของข้าพเจ้าก็มิได้ส่องสว่างช่วงโชติมากพอ

ที่จะนำทางใครๆได้เลย

ข้าพเจ้ายังคงเฝ้าเพียรวอนขอพระพรจากพระเจ้า

เพื่อให้แสงสว่างในจิตวิญญาณข้าพเจ้า

มีพลังมาพอที่จะปันแสงสว่างนี้ให้แก่คนรอบข้างได้บ้าง

แสงสว่างของแบบอย่างที่ดี

ที่คนรอบข้างได้เพียงแค่เห็นก็รู้สึกสบายใจ ร่าเริงในจิตวิญญาณ

แสงสว่างที่คริสตชนพึงมีเพื่อส่องสว่างในแก่กันและกัน

ข้าพเจ้าจึงเก็บแสงสว่างเหล่านี้ไว้นำทางข้าพเจ้า

แสงสว่างจากข้อคำสอนในพระคัมภีร์แห่งชีวิตที่สอนข้าพเจ้าว่า

ประการแรกคือ แสงสว่างแห่งวาจา นั่นคือ การมีคำพูดเพื่อเสริมพลังใจให้กัน

มีคำพูดที่สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน  คิดให้ถ้วนถี่ก่อนจะพูดสิ่งใดออกไป

ว่าเป็นพระพร หรือสร้างคุณประโยชน์ใดบ้างหรือไม่

ดังที่ว่า “คิดทุกคำที่พูด ไม่ต้องพูดทุกคำที่คิด”

ประการที่สองคือ แสงสว่างแห่งการปฏิบัติตน นั่นคือ

การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

ในทุกกิจการจนเป็นกิจนิสัย ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ

เมื่อทำผิดพลาดรู้จักขอโทษ ตั้งหลัก และปรับเปลี่ยนตนเองใหม่ให้ดีขึ้น 

ประการที่สามคือ แสงสว่างแห่งความรัก นั่นคือ รักผู้อื่นให้เหมือนที่พระเจ้าทรงรักเรา

รักผู้อื่นให้เหมือนที่เรารักตัวเราเอง

“อยากให้เขาทำเช่นไรกับเรา ก็จงทำเช่นนั้นกับเขา”

ประการที่สี่คือ แสงสว่างแห่งศรัทธา นั่นคือการแสดงออกซึ่งความรักที่เรามีต่อพระเจ้า

อย่างเปิดเผย ยินดี สุขใจ เพื่อให้คนรอบข้างได้เห็น

ถึงความงดงามของสมาชิกในครอบครัวของพระองค์

เห็นพระเยซูคริสตเจ้าในตัวเรา

ประการสุดท้าย คือ แสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์  นั่นคือ เราต้องชำระล้างตนเอง

ให้มีความบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายกาย ฝ่ายใจ ทั้งความคิดและการกระทำอยู่เสมอ

ซึ่งยากต่อการปฏิบัติแต่ก็ไม่ยากต่อการพัฒนาตนเองทีละน้อย

ในเมื่อเรารู้อยู่เสมอว่า ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า

เราจึงต้องพยายามไม่หลงทางหรือผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ให้พระวิหารของพระองค์ต้องหม่นหมองไป

 “ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้า พระบิดาของเรา

และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด”

(1โครินธ์ 1:3)

โลกเราในทุกวันนี้ มีช่องทางที่พร้อมจะทำให้มนุษย์หลงออกนอกเส้นทางเสมอ

แม้เราจะพยายามประคับประคองตัวเองแล้วก็ตาม

ข้าพเจ้ามองดูอดีตของตัวเอง ความผิดพลาด และการกลับใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในขณะที่ข้าพเจ้าเองก็พยายามที่จะประคับประคองตัวเองให้ตรงทาง

ยังต้องเผชิญกับความผิดพลาดตลอดมา

แล้วเพื่อนมนุษย์ที่ปล่อยตัวเองไปตามกระแสโลก กระแสสังคม กระแสอารมณ์เล่า

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเปิดหาวิธีการสร้างแนวคิดบวก

มีข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบมาก นั่นคือ การมองหาไอดอลที่สร้างแรงจูงใจทางบวกให้เรา

ข้าพเจ้ามีไอดอลเป็นพระเยซูคริสตเจ้า

ที่ประทับอยู่ในบุคคลที่น่ารักรอบกายข้าพเจ้ามากมาย

ข้าพเจ้ามองดูพวกท่านในวันที่ข้าพเจ้าทดท้อ สิ้นหวัง

ข้าพเจ้ามองดูพวกท่านในวันที่ข้าพเจ้าเดินพลาดผิดหลงเส้นทาง

ข้าพเจ้ามองดูท่านในวันที่ฟ้าหม่นดำด้วยสถานการณ์บางอย่างที่เลวร้ายในชีวิต

อย่าลืมพัฒนาชีวิต คิดบวก มองบวก และทำแต่สิ่งที่ดีๆ

เพื่อโลกที่สวยงามกว่าที่เป็นอยู่

ทอแสงทอง ส่องทางธรรม

ทอแสงนำ ส่องทางใจ

ส่องสว่าง มิตรเคียงใกล้

ส่องนำไป ในเส้นทาง

ที่มืดมน คนหม่นหมอง

ขอแสงทอง  ส่องสว่าง

แสงชีวิต  ส่องนำทาง

แสงแบบอย่าง  องค์ทรงชัย

.....................................