“พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด

ทรงกระทำความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจของปีศาจ

เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์”

(กิจการอัครสาวก 10:38)

ชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่ผ่านตาข้าพเจ้ามีชื่อที่น่ารักมาก

ข้าพเจ้ายังไม่ได้อ่านเนื้อหาสาระด้านในเล่ม

แต่ข้าพเจ้าชอบประโยคหลายประโยคบนปกหนังสือเล่มนี้

ประโยคแรกคือ หนังสือจิตวิทยาอารมณ์ดี (อ่านแล้วน่าจะสร้างคุณชีวิต)

ในชื่อหนังสือ “อยู่ให้เขารัก จากให้เขาเสียดาย ตายให้เขาคิดถึง”

ของคุณสมพงศ์  สิงหา

แม้ว่าข้าพเจ้าจะยังไม่ได้มีโอกาสอ่านเนื้อหาสาระภายในเล่ม

แต่ข้าพเจ้าก็ได้ประโยคหลักๆที่น่าสนใจมาไตร่ตรองกับชีวิตตัวเอง

ซึ่งช่างตรงกับพระวาจาที่สะดุดตาข้าพเจ้าเสมอทุกครั้งที่อ่านพระวาจาบทนี้

พระเยซูเจ้าทรงผ่านไปที่ใดก็กระทำแต่ความดี

ให้การช่วยเหลือเยียวยารักษาผู้ป่วยทั้งฝ่ายกายและใจ

เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับพระองค์ผู้ทรงความดีงามสมบูรณ์

พระองค์ไม่เคยเหนื่อยหน่าย รำคาญที่จะต้องย้ำสอน

ให้อภัยอย่างไม่สิ้นสุดต่อประชากรของพระองค์ที่อ่อนแอเสมอ

ข้าพเจ้าย้อนกลับมาคิดถึงตนเอง

ครั้งหนึ่งในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนล้า อยากอยู่เงียบๆเพียงลำพัง

กลับมีพี่ร่วมงานท่านหนึ่งมาเล่าระบายความวุ่นวายในชีวิตให้ข้าพเจ้าฟัง

ข้าพเจ้าฟังอย่างเสียไม่ได้และไม่ได้เอาใจใส่ต่อเนื้อหานั้นมากนัก

เมื่อพี่ร่วมงานท่านนั้นเล่าจบ

เขาพูดปิดท้ายประโยคว่า ขอบคุณมากนะน้องคนดีที่ให้พี่ระบายความทุกข์

พี่รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยเนี่ย

ประโยคปิดท้ายนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิด

แม้ว่าจะยังดีที่ข้าพเจ้ามิได้แสดงท่าทีรำคาญใจออกไปเสียก่อน

แต่หากพี่ท่านนั้นถามความคิดเห็นข้าพเจ้าก็คงตอบไม่ได้

เพราะความไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังความทุกข์ยากของเขาเลย

พระเยซูเจ้าทรงมีพลังแห่งความรักเหลือเฟือมากพอ

ที่จะแบ่งเบา แบ่งปัน เติมเต็มสิ่งดีๆให้ประชากรของพระองค์

แต่ข้าพเจ้านี่สิ แค่ลำพังความทุกข์ยากของตนเองก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้

แล้วจะเอาพลังที่ไหนไปเติมเต็ม แบ่งปัน แบ่งเบาเพื่อนพี่น้องรอบข้างได้เล่า

พลังแห่งความรักนี้มาจากไหน

มาจากพระเจ้าผู้สถิตกับลูกๆที่เปิดใจรับพระองค์เสมอ

จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ

จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน

(มัทธิว 7:7)

ยังคงเป็นคำภาวนาที่ได้ผลเสมอที่พระเยซูเจ้าทรงสอนข้าพเจ้าไว้

เมื่อใจข้าพเจ้าเปิด ปากข้าพเจ้าสรรเสริญและวอนขอ

ข้าพเจ้าจะได้รับพลังแห่งความรักอย่างเต็มเปี่ยม

พร้อมที่จะเริ่มต้นในแต่ละวันที่เหนื่อยยากอย่างดี

มีพลังอย่างเหลือเฟือพอที่จะแบ่งเบา แบ่งปัน ช่วยเหลือและเติมเต็ม

ให้กับเพื่อนพี่น้องรอบข้างตามแบบอย่างพระคริสตเยซู

“เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม

เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้

เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร

และเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ

เพื่อเปิดตาคนตาบอด  ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำจากคุก

ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”

(อิสยาห์ 42:6-7)

โลกทุกวันนี้มันน่าเศร้า  ข่าวคราวความทุกข์ยากของมวลมนุษยชาติ

เกิดขึ้นเพราะตัวมนุษยชาติกระทำตัวเองทั้งสิ้น

รอบกายข้าพเจ้ามีแต่เยาวชนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

บางคนก็สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ด้วยปัจจัยช่วยเหลือรอบกายมากมาย

แต่บางคนก็สิ้นสุดชีวิตลงด้วยการย้ำคิดย้ำทำในความทุกข์เศร้าของตน

โลกปัจจุบันมันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากและโศกเศร้าอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า การประกาศข่าวดีในยุคปัจจุบัน

น่าจะเป็นการประกาศถึงความชื่นชมยินดี ความร่าเริงสดใสในพระพร

การก้าวข้ามผ่านความทุกข์ยากด้วยการมองบวก คิดบวก

เปิดฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่ในฐานะลูกพระ

ยิ้มแย้มแจ่มใสให้คนรอบข้าง

มีแต่คำพูดที่เติมเต็มพลังใจให้กัน  มีแต่คำปลอบประโลมใจให้กัน

กระทำทุกสิ่งด้วยความรักและรอยยิ้มเสมอ

แล้วเขาจะเห็นถึงกิจการดีของพระเยซูคริสตเจ้าในตัวผู้รับใช้ของพระองค์

ที่เข้ามาเติมเต็มความสุขใจ ความสวยงามของชีวิต

ที่โลกปัจจุบันนี้หาได้ยากเย็นเหลือเกิน

ฉันเก็บ รอยยิ้ม มาให้

แบ่งปัน จากใจ ดวงนี้

พร้อมด้วย สายตา อารี

เป็นความ หวังดี จากใจ

โลกยัง มีมุม สดสวย

ใจด้วย มีมุม สดใส

ต่อเติม พลังรัก ต่อไป

เชื่อมใจ สู่ใจ  มั่นคง

Your good deeds might seem invisible, 

but they leave a trail that is imprinted on the hearts of other.


การกระทำที่ดีของคุณอาจจะมองไม่เห็น 

แต่มันจะทิ้งร่องรอยไว้ในหัวใจของผู้อื่น

.....................................