“จงสอนและตักเตือนกันด้วยปรีชาญาณ”

(โคโลสี 3:16)

เมื่อกล่าวถึงคำว่าปรีชาญาณ

ข้าพเจ้ารู้สึกถึงการได้รับพระพรพิเศษของผู้ที่มีปรีชาญาณ

ทั้งในอดีต เช่น กษัตริย์ซาโลมอน และในช่วงชีวิตที่ข้าพเจ้าผ่านมา

เช่น ในหลวงรัชกาลที่ 9

และเมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือปรีชาญาณในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

ข้าพเจ้าชื่นชอบ และมีความรู้สึกสุขใจไปกับคำแนะนำสอนสั่งในเล่มนั้นมาก

ข้อแนะนำคำสอนในหนังสือปรีชาญาณ

เมื่อข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกเหมือนบุคคลอันเป็นที่รักของข้าพเจ้ากำลังปรารถนา

ให้คำแนะนำข้าพเจ้าเพื่อให้ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างผู้มีปรีชาญาณมากยิ่งขึ้น

และเมื่อกล่าวถึงปรีชาญาณ

ข้าพเจ้าคิดถึง ญาณ ประเภทต่างๆขึ้นมา เช่น

สัญชาตญาณ  นั่นคือปฏิกิริยาสะท้อนกลับอัตโนมัติเมื่อรู้สึกมีภัยมาถึงตัว

สัญชาตญาณน่าจะเป็นญาณประเภทต้นๆ ที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน

สำหรับปรีชาญาณ (Wisdom) ในศาสนาคริสต์

ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากพระเจ้า จึงเป็นบ่อเกิดของความชอบธรรม

และคุณความดีสมบูรณ์พร้อมทุกประการ

ปรีชาญาณจึงไม่ได้มีในมนุษย์ทุกคน

ดังนั้น เมื่อเราต้องการจะเป็นผู้มีปรีชาญาณ และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อม

เราจึงต้องอธิษฐานวอนขอปรีชาญาณจากพระเจ้า

ผู้เป็นต้นกำเนิดของปรีชาญาณ

เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมและเต็มเปี่ยมด้วยความดีดังเช่นพระเจ้า

ผู้เป็นต้นกำเนิดความดีพร้อมของเรา

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าสนทนากับบุคคลมากมาย

ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่า ใครคือคนที่มีพระพรแห่งปรีชาญาณ

เพราะคำพูดของเขาเข้าถึงจิตวิญญาณของข้าพเจ้า

และเขาก็รู้ว่า ควรจะพูดอย่างไรกับใคร

ถ้อยคำ  วอนเตือน  เอื้อนปรีชา

จำนรรจา พาที มีธรรมมั่น

แทรกเมตตา กรุณา  เช่นทรงธรรม์

ปรีชาญาณ สุขสันต์  มั่นพระพร

ปรีชาญาณมาจากพระเจ้า

และเมื่อเราอธิษฐานภาวนาขอปรีชาญาณด้วยความเชื่อ

เราก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณนั้น

“ท่านจะพูดเรื่องใด หรือทำกิจการใด

ก็จงพูดจงทำในพระนามพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า”

(โคโลสี 3:17)

ในอดีตพระเยซูเจ้าตรัสสิ่งใดสิ่งนั้นก็บังเกิด

ทรงตรัสสั่งให้ลมพายุสงบ ลมพายุก็สงบ

ตรัสสั่งให้ปีศาจร้ายออกจากชายคนหนึ่ง ปีศาจร้ายก็ออกไป

ตรัสสั่งให้คนตายฟื้นคืนชีพ คนตายก็ฟื้นคืนชีพ

ทุกถ้อยคำของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวาจาสิทธิ์แห่งความรักและเมตตา

เป็นวาจาเพื่อการเยียวยารักษา และช่วยเหลือ

ข้าพเจ้าจึงย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง

ว่าทุกถ้อยวาจาที่ออกจากปากของข้าพเจ้าไปแต่ละคำ ในแต่ละนาทีนั้น

มีพระพรจากปรีชาญาณของพระเจ้าหรือไม่

และทั้งคำพูดหรือการกระทำของข้าพเจ้าต่อผู้อื่นนั้น

พูดหรือกระทำในพระนามของพระเยซูเจ้าหรือไม่

เพราะหากข้าพเจ้าใส่ถ้อยคำแห่งพระพรของพระเจ้าลงไปในทุกกิจการของชีวิต

ข้าพเจ้าควรจะเห็นแสงสะท้อนของพระพรแห่งปรีชาญาณสะท้อนกลับมา

ผ่านบุคคลรอบข้างที่ข้าพเจ้าสัมผัสด้วยทุกๆวัน

อาจารย์ผู้สอนด้านจิตวิญญาณของข้าพเจ้าท่านหนึ่งเคยกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า

หากข้าพเจ้าต้องการจะกระทำสิ่งใดที่รู้สึกว่ายากเย็นเหลือเกิน

ให้ข้าพเจ้าอธิษฐานวอนขอพระพรจากพระเจ้า

และกระทำกิจการที่ยากนั้นในพระนามของพระคริสตเจ้า

กิจการนั้นจะสำเร็จไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหากเป็นกิจการที่ดีพอ

อาจารย์ไม่เคยบอกข้าพเจ้าเลยว่ามันจะไม่สำเร็จหากพระเจ้าทรงกระทำ

แต่หากข้าพเจ้าทระนงตัวเองว่าเก่ง และกระทำทุกอย่างสำเร็จไปได้ด้วยตนเอง

ข้าพเจ้าจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่สิ้นสุด

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆตลอดมา

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าลืมตัวเอง และหลงคิดว่าตัวเองเก่งด้วยตนเอง

ในวันเวลาเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าผิดหวัง

เป็นเสมือนคำตักเตือนตีสอนให้ข้าพเจ้าไม่หลงตนเอง

และรู้จักที่จะสุภาพนบนอบให้พระคริสตเจ้าครอบครองทุกกิจการในตัวข้าพเจ้า

ทั้งรู้จักสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าในความสำเร็จ

ที่เกิดขึ้นกันข้าพเจ้าในทุกกิจการด้วยเช่นกัน

“หากไร้พระองค์ ลูกคงไม่อาจทำสิ่งใด

ฝากชีวิตไว้ มอบให้พระองค์ดูแล”

“ผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นสุข

เขาเดินอยู่ในมรรคาของพระองค์

ท่านจะมีอาหารกินจากงานที่ท่านทำ

ท่านจะเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง”

(สดุดี 128:1-2)

.....................................