“ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา
และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด”
(โรม 1:7)
ในช่วงเวลาของความชื่นชมยินดี
ซึ่งควรจะเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าน่าจะใช้เวลาในการทบทวนตัวเอง
เตรียมตัวเตรียมใจรับเสด็จการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่
แต่ในปีนี้ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความหงอยเหงาในจิตวิญญาณ
อาจจะเพราะความคาดหวังของข้าพเจ้า
ว่าในเทศกาลอันแสนสุขนี้
ข้าพเจ้าควรจะมีจิตใจเบิกบาน แจ่มใส
เพื่อต้อนรับอิสรภาพจากบาปที่กำลังจะมาถึงผ่านการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้า
แต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมาย้อนระลึกถึงองค์พระกุมารน้อยที่กำลังจะบังเกิดมา
เพียง 33 ปีถัดไป พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างร้ายกาจ
ซึ่งเมื่อมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ยากในชีวิตข้าพเจ้าแล้ว
ยังน้อยนิดนักกับภารกิจที่ต้องกระทำในขณะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ในช่วงเวลาของความยุ่งยาก ข้าพเจ้าเปิดพบเฟสของแม่ท่านหนึ่ง
ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และต้องเลี้ยงลูก 3 คน
ลูกสาวคนเล็กป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรม อีกคนหนึ่งไม่ค่อยแข็งแรง
ดังนั้นเมื่อภาระหน้าที่ของความเป็นแม่ซึ่งพึ่งมีต่อลูก
จึงเป็นตัวเลือกเดียวที่แม่ต้องเลือก นั่นคือ
การเลี้ยงดูลูกที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำทุกสัปดาห์
ภาระมีมากพอๆกับค่าใช้จ่ายของบ้าน
ในขณะที่บ้านก็ยังต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ หมอต้องหา
แต่เงินที่เข้าครอบครัวกลับมีเพียงน้อยนิด
ข้าพเจ้าไล่อ่านโพสต์ของคุณแม่ท่านนี้ไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวในใจ
สำคัญคือข้าพเจ้ารู้สึกว่าความทุกข์ยากของตนเองช่างน้อยนิดเหลือเกิน
ดังนั้นแล้วหากวันนี้ข้าพเจ้าจะรู้สึกอึดอัดใจ ท้อใจ ไม่สบายใจ
กับเรื่องราวบางเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
นั่นก็คงเป็นเพียงกางเขนน้อยๆที่ข้าพเจ้าควรจะมีส่วนร่วมกับพระกุมารน้อย
ที่ถ่อมตนลงมาบังเกิดบนโลกใบนี้
เพื่อข้าพเจ้าและมนุษยชาติได้รอดพ้นมิใช่หรือ
ข้าพเจ้าตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า
ตลอดเทศกาลพระคริสตสมภพนี้ ข้าพเจ้าจะไม่พร่ำบ่นในความเหนื่อยยาก
หรือความขัดใจในบางเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เพื่อให้ตัวข้าพเจ้าเองได้เตรียมตัวเตรียมใจต้อนรับการบังเกิดมาของพระกุมารเยซู
และในโอกาสพิเศษนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า
ช่วงปิดคริสต์มาสและปีใหม่
ข้าพเจ้าจะขึ้นไปเยี่ยมเยียนเพื่อนครูคำสอนบนดอยและนำของเล็กๆน้อยๆไปฝาก
เพื่อให้เด็กน้อยเหล่านั้น ได้มีความสุขในเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดีนี้
ดังแบบอย่างที่พระคริสตเจ้าทรงมอบให้ไว้
นั่นคือ การถ่อมองค์ลงมาบังเกิดในสถานที่ที่ต่ำต้อยที่สุด
เพื่อให้ข้าพเจ้าและมนุษยชาติได้เรียนรู้ว่า
อย่ามองข้ามผ่านผู้ทุกข์ยาก ผู้ที่ลำบากตรากตรำ ซึ่งมีมากมายเกินกว่าเราจะเข้าไปถึง
เมื่อเราอยากมีความสุข เราก็จะมองหาแต่ความสุข
เพื่อแสวงหาความสุขนั้นมาเป็นของตนเอง
และเมื่อมันไม่สามารถไขว่คว้าหาความสุขได้สมที่ตั้งความหวัง
ก็เป็นความทุกข์ในใจ ความไม่สุขกายไม่สบายใจ
แต่เมื่อใดที่เรามองหาผู้ที่ทุกข์ยากมากกว่าเรา
เราก็จะรับรู้ได้ว่า ความทุกข์ของเรานั้นไม่ได้ใหญ่โตเกินเราจะรับได้
และการแสวงหาความสุขก็ไม่ได้มีคุณค่ามากกว่าการนำความสุขไปสู่ผู้ทุกข์ยากเลย
ปล่อยให้ความทุกข์ยากลำบากเล็กๆน้อยๆในชีวิตเรา
ดำเนินไปตามครรลองของมัน
เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมันก็ผ่านไป
แต่การนำความสุขเล็กๆน้อยไปสู่ผู้ที่ทุกข์ยากกว่าเรา
กลับสร้างคุณค่าชีวิตให้กับตัวเราเองพร้อมเติมคุณค่าให้กับชีวิตผู้อื่นด้วย
“บุคคลเช่นนี้จะได้รับพระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
จะได้รับความเป็นธรรมจากพระเจ้าผู้ทรงช่วยเขาให้รอดพ้น”
(สดุดี 24:5)
องค์พระคริสตเจ้าทรงประทับอยู่ในหมู่ผู้ยากไร้
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเคียงข้างผู้ทุกข์ทน
และปลอบประโลมใจผู้ร่ำไห้เพราะถูกข่มเหงรังแก
ในเทศกาลแห่งความรักและการให้ในปีนี้
ขอให้ข้าพเจ้ามีองค์พระคริสตเจ้าเป็นพลังชีวิต
เพื่อจะได้นำพระพรแห่งความรักและความหวังไปสู่ผู้คนรอบข้างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ขอให้ข้าพเจ้ายอมรับและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างดี
ขอพระพร แห่งรัก ประจักษ์มั่น
ประทานวัน เวลา ที่เหมาะสม
ให้สายตา มองธรรม อย่างชื่นชม
แม้ขื่นขม มองทุกข์ตรม ให้ข่มใจ
มองเห็นแสง สว่าง กระจ่างฟ้า
แม้ในวัน เวลา ที่หม่นไหม้
มองเห็นดาว พราวนภา ฟ้าอำไพ
เพื่อทุกวัน ที่สดใส ในพระพร
..................................... |