“พี่น้องทั้งหลาย จงยึดบรรดาประกาศก

ซึ่งพูดในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นแบบฉบับ

ในความพากเพียรอดทนต่อความยากลำบาก”

(ยากอบ 5:10)

บทเพลงหนึ่งที่ถูกขับร้องไว้โดย โต๋  ศักดิ์สิทธิ์  เวชสุภาพร

ชื่อเพลง “สักวัน แล้วมันก็ผ่านไป”  มีท่อนหนึ่งซึ่งความหมาย

มักจะดังก้องในใจข้าพเจ้าเสมอเมื่อยามที่ต้องพบเจอกับปัญหาชีวิต มีใจความว่า

©“...บอกใจเอาไว้เมื่อต้อง เผชิญ

ว่าสักวัน แล้วมันก็ผ่านไป

ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ เกิดขึ้นแล้วจากไป

สักวัน น้ำตาจะหยุดไหล

สุขทุกข์ร้ายดีเท่าไหร่ สุดท้ายก็ผ่านไป...”©

https://www.youtube.com/watch?v=cVgosCRnO5U

นักวิชาการและนักจิตวิทยาได้นำเสนอระดับความฉลาดทางสติปัญญา

(IQ = Intelligence Quotient) ที่ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ คิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล

และความฉลาดทางอารมณ์(EQ = Emotional Quotient) ที่ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข แต่มีอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลย

นั่นคือความสามารถในการเผชิญความยากลำบาก  การเอาชนะอุปสรรคและการปรับตัว

(RQ=Resilience Quotient) นั่งเอง

ซึ่งข้าพเจ้ามีความสนใจในตัว RQ ค่อนข้างมาก

เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนพลังสุขภาพจิตของมนุษย์ หรือเป็นภูมิคุ้มกันทางใจในมนุษย์

สามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤตของชีวิตไปได้

โดยมีกระบวนการฟื้นฟูสภาพอารมณ์และจิตใจให้กลับมาเป็นปกติสุขได้

ซึ่งแต่ละคนมีความสามารถในการผ่านพ้นวิกฤติชีวิตได้ไม่เท่ากันเลย

และข้าพเจ้าเชื่อว่า บุคคลที่มีศาสนา มีพระเจ้าเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

จะมีความสามารถทาง RQ ค่อนข้างสูง

เพราะพวกเขามีศรัทธา มีเป้าหมายของชีวิต

และมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิตตามหลักคำสอนทางศาสนาของตน

มีสูตรพัฒนาความสำเร็จของชีวิตเขียนเอาไว้ว่า

ใน 100 % ของ Quotient  เราควรมี 20IQ  40EQ และ 40RQ ในการดำเนินชีวิต

แต่ไม่ว่านักวิชาการ หรือนักจิตวิทยาจะมีสูตรการดำเนินชีวิตอย่างไร

มนุษย์ก็เป็นสิ่งสร้างที่มีคุณค่า และเป็นสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงรักมาก

และด้วยความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์มากมาย

มนุษย์เราจึงมีความสามารถในการเรียนรู้ แก้ไข พัฒนา ปรับปรุงชีวิตของตนเอง

ให้สามารถอยู่รอด และอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข

มนุษย์แสวงหาความสำเร็จของชีวิต

และพยายามแสวงหาความสงบสุขของจิตใจด้วยเช่นกัน

อยากจะขอ  เป็นหนึ่ง  กำลังใจ

ส่งอุ่นไอ  ให้กับ  ผู้ทุกข์ทน

ที่เจ็บปวด  รวดร้าว  และสับสน

อยากเป็นคน  ที่มากล้น  พลังใจ

อยากจะขอ โอบอุ่น  ด้วยไอรัก

ขอเป็นตัก  พิงพัก  ยามหวั่นไหว

อยากจะกอด  เก็บเกี่ยว  ให้ดวงใจ

ได้อุ่นไอ  จะเก็บใจ  ไว้ให้กัน

ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกข้าพเจ้ามีพลังแห่งความรักเต็มเปี่ยมในดวงใจ

ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันไออุ่นของความรักนี้

ผ่านรอยยิ้ม ผ่านความสดชื่นแจ่มใส  ผ่านคำปลอบใจ  คำเสริมพลังใจ

ให้กับผู้คนรอบข้างที่กำลังหม่นหมองและเศร้าสร้อยในชีวิต

มีผู้คนอีกมากมายที่กำลังมืดมนหนทางในการแก้ไขปัญหา

หรือการจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรค หรือวิกฤติชีวิตไปได้

ในช่วงเวลาของความทุกข์ยากเหล่านั้น

มันเป็นช่วงเวลาที่หากเรามีใครสักคนที่เหลียวมามอง

หยุดและเอื้อมมือลงมาโอบกอดหรืออยู่เคียงข้างเพียงชั่วครู่

โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ เลย แค่สายตาที่เข้าใจ ห่วงใย

ก็เป็นพลังใจที่ดีที่จะหนุนนำให้ชีวิตหนึ่งชีวิต

มีแรงจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนั้นไปให้จงได้

ลูกชายคนเล็กมักพร่ำบ่นถึงความยากลำบากของการเดินเรื่องเล็กๆน้อยจากการเรียน

ซึ่งข้าพเจ้ามักจะบอกลูกชายเสมอว่า

ความยากลำบากที่ลูกได้รับ ยังไม่ได้เสี้ยวของบรรดาผู้ที่ผ่านชีวิตมายาวนานแล้ว

และความยากลำบากก็จะทำให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง

เพราะทุกครั้งที่ลูกผ่านมันไปได้ นั่นแสดงว่าลูกมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์นั้นแล้ว

และเมื่อเหตุการณ์ใหม่ๆเข้ามาให้ลูกรับมือ  ลูกก็จะได้เรียนรู้และเติบโตไปกับมัน

ในวันที่คนในครอบครัวถูกลดคุณค่าและศักดิ์ศรีลงจากคนนอกบ้าน

ของขวัญสำคัญที่พระเจ้าประทานให้คือครอบครัว

ที่จะคอยคืนคุณค่าและศักดิ์ศรีของกันและกันให้เต็มล้นอยู่เสมอ

เมื่อยามที่ต้องใช้ชีวิตตามปกติสุข

สมาชิกในครอบครัวอาจจะไม่ได้เห็นคุณค่าของกันและกัน

เพราะต่างคนต่างดิ้นรนตามวิถีชีวิตของตน

แต่ทุกครั้งที่ใครสักคนหนึ่งในครอบครัว

กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากทั้งใจและกาย

ในเวลานั้นครอบครัวคือพระพรของพระเจ้าที่จะเป็นผู้เติมพลัง

และคืนคุณค่า ศักดิ์ศรีของสมาชิกที่ทุกข์ทนนั้นให้กลับมา

อาจจะต้องใช้เวลาเยียวยารักษาใจและกายของกันและกัน

แต่มันคือของขวัญสุดพิเศษของคำว่าครอบครัวจริงๆ

ก่อนจะรักคนนอกบ้าน จงหันกลับมาใส่ใจคนในบ้านก่อน

และเมื่อครอบครับเราอิ่มอุ่นไอรักแล้ว  เราก็จะสามารถปันไอรักสู่คนรอบข้างได้

อย่าบอกว่ารักคนนอกบ้านในขณะที่เรายังรักคนในบ้านไม่เป็น

เพราะครอบครัวคือ “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ที่ดีที่สุด

.....................................