“สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว

เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา

แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย”

(ลูกา 23:41)

ในวันที่พระเยซูเจ้าถูกดูหมิ่นจากผู้ร้ายที่ถูกตรึงกางเขนด้วยกัน

ในวันที่พระองค์กำลังเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลฉกรรจ์

มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานเกินที่ความเป็นมนุษย์จะทนไหวจริงๆ

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดูหมิ่น หรือถูกทำร้ายจากใครบางคน

ในช่วงเวลาของความทุกข์ยากที่จะยอมรับเหตุการณ์เหล่านั้น

ข้าพเจ้าอาจจะเสียเวลาไปพักหนึ่งในการตั้งตัว

ด้วยความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอของข้าพเจ้าเอง

แม้ว่าอยากจะ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่ความเงียบน่าจะดีที่สุดสำหรับข้าพเจ้า

และให้วันเวลาเป็นตัวพิสูจน์ตัวของมันเอง

พระเยซูเจ้าไม่เคยลุกขึ้นมาต่อสู้ ต่อต้านหรือแสดงอำนาจของพระองค์

เพื่อช่วยเหลือตัวพระองค์เองให้รอดพ้นจากความเจ็บปวด ความเลวร้ายที่เกิดขึ้น

พระองค์ทรงให้อภัยผู้ที่ทำร้ายพระองค์

ทั้งยังทรงวิงวอนพระบิดาเจ้าให้ยกโทษให้พวกที่ทำร้ายพระองค์ด้วย

วันเวลา และสถานการณ์ต่างหากที่พิสูจน์ตัวพระองค์เองว่าพระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้

ประกาศกย่อมต้องมีบาดแผลจากการออกประกาศข่าวดี

ตามแบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้า

ข้าพเจ้าเล่าเป็นใครกัน จึงจะเรียกร้องขอความสุขสบายฝ่ายข้างโลก

และเรียกร้องขอความยุติธรรมจากโลกใบนี้

ในขณะที่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่ได้แสดงออกซึ่งความยุติธรรมในบางสถานการณ์

ดังนั้นแล้ว หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้า

จะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกขาดความสุขกายสบายใจ  ผิดหวัง 

ขาดความยุติธรรม หรือถูกทำร้ายไปบ้าง

ก็เพื่อฝึกฝนตัวข้าพเจ้าเองให้ใส่ใจผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเรา

และเราเห็นว่าเราสามารถข่มเหงน้ำใจเขาได้

เมื่อเขาทำให้เราไม่พึงพอใจ

ข้าพเจ้าจึงต้องหมั่นที่จะพิจารณาตนเองให้รอบคอบต่อการดำเนินชีวิต

โดนเฉพาะการดำเนินชีวิตที่ต้องเกี่ยวพันกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

และมั่นคงพอที่จะยืนยันทำในสิ่งที่ถูกที่ควร

“พี่น้อง ขอบพระคุณพระบิดาเจ้าด้วยความยินดี

พระองค์โปรดให้ท่านเป็นบุคคลที่เหมาะสมจะเข้าอยู่ในแสงสว่าง

มีส่วนได้รับมรดกร่วมกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”

(โคโลสี 1:12)

บางทีข้าพเจ้าก็แปลกใจในแผนการของพระเจ้ายิ่งนัก

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตกำลังสะดุด หรือกำลังยอมแพ้อย่างคนขี้แพ้

แพ้ชนิดที่แอบตำหนิพระเจ้าว่า พระเจ้าข้า นี่ไม่ใช่ทางของลูกใช่ไหม

ทำไมพระองค์ทรงเลือกเส้นทางนี้ให้ลูก 

ลูกจะได้ไปเสียให้พ้นจากทางนี้

บางทีข้าพเจ้าก็แยกแยะไม่ออกระหว่างสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดสรรให้

กับสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับ

เพราะเมื่อข้าพเจ้าต้องกระทำในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสักเท่าไหร่

และยิ่งต้องกระทำสิ่งที่ยากบนทางขวากหนามที่เต็มไปด้วยผู้ปองร้าย

ข้าพเจ้าจึงเรียนรู้ว่า น้ำพระทัยพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

เพราะไม่เคยมีผู้ชอบธรรมคนใดที่สุขกายสบายใจเลย

พระองค์ทรงต้องการสอนให้ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ชอบธรรมของพระองค์

อยู่ที่ตัวข้าพเจ้าเองจะรับหรือปฏิเสธน้ำพระทัยของพระองค์

มีกระบวนการคิดกระบวนการหนึ่งชื่อว่า Positive Thinking

นั่นคือ กระบวนการรับรู้และแปลความหมายไปในทางที่ดี

เช่นเดียวกับการมองโลกในแง่บวก นั่นคือการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น

ในทุกสถานการณ์ทั้งดีและร้าย  มองสิ่งต่างๆด้วยความเข้าใจ ยอมรับในด้านลบ  ปัญหา

ความไม่ราบรื่นของชีวิต ว่าเป็นเรื่องธรรมดา

แต่การจะยอมรับสภาพเหตุการณ์ที่เป็นลบได้นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดร.สิทธิชัย  จันทานนท์ ได้เขียนถึงหลักการมองโลกเชิงบวกไว้ดังนี้

บันไดขั้นที่ 1 มองว่าตัวเองดี (หาข้อดีของตัวเองแต่ไม่ใช่เข้าข้างตัวเองบนความถ่อมตน)

บันไดขั้นที่ 2 มองว่าคนอื่นดี  เมื่อมองตนเองดีแล้วก็ฝึกมองความดีของคนอื่น

บันไดขั้นที่ 3 หมั่นบอกตนเองว่าความคิดเป็นต้นเหตุของการกระทำ  ฝึกคิดดี

บันไดขั้นที่ 4 ใช้ประโยชน์จากคำว่าขอบคุณ จงยิ้มและขอบคุณแม้ต้องเจอเรื่องเลวร้าย

แม้ว่าบางคนจะรู้สึกว่าการเป็นคนดี หรือการที่จะได้มาซึ่งความปรารถนาของตน

เป็นสิ่งที่ยากเย็นต่อการกระทำที่ดูจะขัดต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้น

จึงสรุปให้ตนเองทำอะไรก็ได้แล้วสุขกายสบายใจ

จนกระทั่ง ความสุขกายสบายใจของตนเองนั้น

ไปเบียดเบียนความสุขกายสบายใจของผู้อื่นด้วย

สังคมก็ขาดสันติสุขเพราะต่างความต่างไขว่คว้าหาความสุขกายสบายใจของตนเอง

แบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้าจึงเป็นแบบอย่างของความไม่สุขในตนเอง

เพื่อให้โลกได้พบสันติสุขที่แท้จริง

ข้าพเจ้าจึงคอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่า

สุขก็สุข แต่พอควร

ทุกสิ่งล้วน ไม่ยั่งยืน

ทุกข์ก็ทุกข์  ยอมกล้ำกลืน

ใจทนฝืน  ก็ผ่านไป

มีพระคริสต์  เป็นแบบอย่าง

บนเส้นทาง  ก็สดใส

ปล่อยทุกข์ทน  ล้นออกใจ

พระคริสต์ให้  สุขกลับคืน

"พลังคิดบวกจะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาหาตัวเราเอง"

.....................................