“ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำใจท่าน

สู่ความรักของพระองค์ และสู่ความอดทนมั่นคง

ของพระคริสตเจ้าเถิด”

(2 เธสะโลนิกา 3:5)

ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า

พระผู้ไถ่กู้ข้าพเจ้าด้วยพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

ขอโปรดให้การไถ่กู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

สอนใจข้าพเจ้าให้มีความเพียรอดทนจนถึงที่สุด

ต่อการถูกเบียดเบียนข่มเหงในทุกรูปแบบ

โปรดประทานความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาไว้ซึ่งความดีงาม

และความถูกต้อง ท่ามกลางความชิงชังโหดร้าย

และโปรดสอนให้ข้าพเจ้ามีใจที่ละเอียดอ่อนพอที่จะนอบน้อมมองเห็นสิ่งดีงาม

บนความผิดหวัง เจ็บปวด จากการถูกเบียดเบียนทั้งทางใจและกาย

ให้ข้าพเจ้ารู้จักขอบคุณทุกเหตุการณ์ในชีวิต

แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะให้เกิดขึ้นก็ตาม

เพื่อให้ดวงใจของข้าพเจ้าเข้มแข็งดังเช่นดวงใจของพระองค์

แม้จะถูกเบียดเบียนทำร้ายอย่างอยุติธรรม

**ขอพระ ทรงธรรม โปรดนำใจ

เติมเชื้อไฟ แห่งรัก ประจักษ์มั่น

ให้ดวงใจ  ลูกมั่นคง  ในทรงธรรม์

แม้ศัตรู  หมายประจัน  ไม่หวั่นเกรง**

พ่อของข้าพเจ้าในวัยเจ็ดสิบปลายๆ

ซึ่งมีประสาทการรับฟังเสื่อมถอยไปมากแล้วนั้น

จึงทำให้ในยามที่มีใครต่อใครพูดคุยกัน

พ่อจึงมักนั่งนิ่งๆไม่ค่อยเป็นส่วนหนึ่งในวงสนทนาเท่าที่ควร

ยกเว้นเสียแต่ว่า หากลูกๆหลานๆมาพร้อมหน้า

แล้วมีการตั้งวงสนทนากันขึ้นอย่างสนุกสนานเมามัน

พ่อก็จะเอียงหูตั้งใจฟังและขอร้องให้ช่วยพูดดังขึ้น

เพื่อพ่อจะได้อยู่ในวงสนทนานั้นด้วย

พ่อเคยบอกข้าพเจ้าว่า การไม่ได้ยินบางทีมันก็เป็นสิ่งที่ดี

เพราะเราจะได้ไม่ต้องไปรับฟังเรื่องของโลกมากเกินไป

มันก็จริงของพ่อ เพราะหลายครั้งการสนทนาของมนุษย์โลก

มักจะสิ้นสุดลงด้วยการนินทาว่าร้ายผู้อื่นเสมอ

และการพูดหลายครั้งก็เป็นช่องทางนำไปสู่บาป

พ่อจึงเลือกที่จะรับฟังเฉพาะเรื่องที่ควรฟัง

ฟังแล้วสุขใจ  ฟังแล้วเกิดธรรมแก่ผู้ฟังและผู้รับฟัง

พ่อเลือกที่จะรับฟังเสียงของครอบครัวที่เป็นสายสัมพันธ์แห่งความรักแท้จริง

นั่นสินะ ข้าพเจ้าอาจจะฟังเสียงทางโลกมากเกินไปจริงๆ

ฟังเสียงของมารร้าย ที่แทรกซึมเข้ามากัดกร่อน

ดวงใจแห่งรักที่เคยสวยงามในใจของข้าพเจ้า

ฟังเสียงแห่งความแตกแยกที่ดังมาจากเหวลึกของอำนาจชั่วร้าย

เพื่อทำลายดวงใจแห่งความปรองดองสามัคคี

อำนาจชั่วร้ายที่ข้าพเจ้าเผลอเปิดใจรับฟังนั้น

จึงดูดเอาพลังแห่งการรู้คุณค่าของตนเองของข้าพเจ้า

ให้เสื่อมถอยลดลงอย่างรวดเร็ว

ทำให้ข้าพเจ้าสะดุดหกล้มอย่างไร้ท่า

บนทางที่เต็มไปด้วยกรวดหินและลวดหนามแหลม

หัวใจของข้าพเจ้าเกิดรอยบาดแผล และข้าพเจ้าก็อ่อนแรงเกินจะต่อสู้อีกต่อไป

บทเรียนจากพ่อ บทเรียนของการเลือกรับฟัง

จึงเป็นเสมือนมืออุ่นๆที่สะกิดให้ข้าพเจ้าหยุดคิด

และพระวาจาก็เป็นเสมือนแอลกอฮอล์ล้างบาดแผลร้ายในใจข้าพเจ้า

“โปรดทรงรักษาข้าพเจ้าไว้ดุจแก้วตา

โปรดทรงปกป้องข้าพเจ้าไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์

ให้พ้นจากคนชั่วร้ายที่ข่มเหงข้าพเจ้า

ศัตรูกำลังห้อมล้อมหมายจะเอาชีวิตข้าพเจ้า”

(สดุดี 17:8-9และ15)

บทเพลงหนึ่งขับขานไว้ว่า

“ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับการ

ที่พระคริสต์ประทานพระชนม์ชีพเพื่อชาวเรา..”

ข้าพเจ้าจึงเรียนรู้จักที่จะมองหารักที่ยิ่งใหญ่จากรักที่แท้จริง

ไม่ใช่รักยิ่งใหญ่ของโลกที่จอมปลอม

**เพราะพระองค์ ทรงรักข้าฯ ดุจแก้วตา

ทรงเยียวยา  รักษาข้าฯ  คราล้าอ่อน

ใต้ร่มปีก  แห่งเมตตา  เอื้ออาทร

คือพระพร  ป้อนปกปักษ์  พิทักษ์ใจ

ข้าฯจึงรอด  ปลอดพ้น  จากภัยพาล

แม้หมู่มาร หมายมาด  พิฆาตใกล้

พระทรงโปรด  คุ้มกัน  ข้าฯมั่นใจ

ใต้เงาปีก  ยิ่งใหญ่  ปลอดภัยพาล**

.....................................