“คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่
เขาซักเสื้อของเขาจนขาว
ในพระโลหิตของลูกแกะ”
(วิวรณ์ 7:14)
การถูกดูถูกเหยียดหยาม การทำร้ายกันทั้งด้วยทางวาจา การกระทำ
ข้าพเจ้าถือว่าเป็นกระบวนการของการเบียดเบียนอีกประเภทหนึ่ง
นอกเหนือจากที่บรรดามิชชันนารีได้ถูกเบียดเบียนจนถึงแก่ชีวิตในประวัติศาสตร์
ในสังคมปัจจุบันเราอาจจะไม่ได้ถูกเบียดเบียนทางกาย
แต่เรากำลังถูกเบียดเบียนทางใจในทุกรูปแบบที่มนุษย์พร้อมจะทำร้ายกันเอง
มนุษย์กำลังใช้วาจาเพื่อทำร้ายซึ่งกันและกัน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าตกอยู่ในอารมณ์ที่ผิดหวังอย่างหนักหนา
เมื่อใครคนหนึ่งกำลังเป็นทุกข์แล้วเข้ามาปรึกษาข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ารับปากจะช่วยผ่อนเบาภาระของเขา
แต่แล้วข้าพเจ้าก็รับรู้มาว่าก่อนที่เขาจะมาขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้านั้น
เขาได้ดูหมิ่นดูแคลนข้าพเจ้าไว้กับใครอีกหลายคน
ข้าพเจ้าผิดหวังอย่างหนักเนื่องจากสิ่งที่เขาได้ขอให้ข้าพเจ้าช่วย
คือสิ่งที่เขาดูหมิ่นข้าพเจ้าไว้นั่นเอง
และยิ่งสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกติดลบกับชีวิต
เบื่อหน่ายสังคมมนุษย์ ที่คนหนึ่งทำร้ายใครอีกคนหนึ่งด้วยการใช้วาจาทำร้ายกัน
ดูถูกกัน สร้างความร้าวฉานให้แก่กันและกัน
บางคนต่อหน้าเหมือนจะรัก และเอื้อเอ็นดูเรา
แต่ในความเป็นจริงเขากำลังแอบลอบทำร้ายเราก็ยังมี
ในบทบาทหน้าที่ต่างก็สวมหน้ากากเข้าหากัน
กิจการที่แสดงออกเหมือนว่ารักกัน
แต่ในความเป็นจริงมันมีความโหดร้ายเคลือบแฝงอยู่ทั้งสิ้น
ผนวกกับเพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้าเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้
จนต้องผันชีวิตของตนเองออกจากสังคม
กลับไปใช้ชีวิตแบบพอเพียงในชุมชนเล็กๆต่างจังหวัด
กับบรรดาชาวบ้านที่ยังคงความซื่อใสที่หาได้ยากในสังคมเมือง
เพื่อนของข้าพเจ้าเล่าว่า ชาวบ้านน่ารักมาก แต่พอคนเมืองเข้าไปอยู่ด้วย
ความไม่น่ารักก็ถูกปะปนเข้าไปในสังคมชนบทเช่นกัน
ข้าพเจ้าร้องไห้ให้กับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า
สร้างความทดท้อ เหนื่อยหน่าย ผิดหวัง และรู้สึกถูกลดคุณค่าลง
คิดไปร้อยแปดพันประการที่จะหนีจากสังคมเมืองไปเสียให้พ้นๆ
ไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากพบปะผู้คน ไม่อยากดิ้นรนหรือคิดสร้างสรรค์งานใดๆอีก
ประจวบเหมาะที่ในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาของวันหยุด
วันหยุดที่พระจัดให้ข้าพเจ้าได้หยุดคิด ทบทวนตนเอง
ข้าพเจ้าใช้เวลาในขณะเดินดูต้นไม้ใบหญ้า
มองท้องฟ้าสีฟ้าใสยามเช้า นั่งบนแคร่ไม้ไผ่ให้ลมพัดโชยเย็นๆผ่านไป
โอบกอดต้นไม้ใหญ่และถ่ายเทพลังให้แก่กัน
ระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจให้กับเพื่อนที่เราคิดว่าเราไว้วางใจ
จนมาถึง ณ จุดหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า พลังบางอย่างกำลังเดินทางกลับมา
พลังแห่งความรัก พลังแห่งความหวัง พลังแห่งธรรมชาติ
สำคัญยิ่งคือพลังแห่งพระวาจา
ได้เยียวยา บรรเทาใจให้ชีวิตข้าพเจ้าเหมือนได้รับน้ำทิพย์ในวันอ่อนล้า
บางทีการถูกดูหมิ่น เหยียดหยามก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีของข้าพเจ้า
เพราะทุกครั้งที่เราถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม เราก็กำลังถูกเบียดเบียน
เมื่อเราถูกเบียดเบียน เราก็จะได้ฝึกฝนตนเองว่าเราเข้มแข็งมั่นคง
ที่จะยืนหยัดต่อสู้ในความถูกต้อง ในการยืนยันถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนต่อหรือไม่
หรือจะยอมแพ้ แล้วทอดทิ้งความเชื่อ ความหวัง และความรักที่เราได้รับมาตลอดชีวิต
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ได้กล่าวไว้ในงานสัมมนาการศึกษาคาทอลิก
ประจำปี 2562 ไว้ว่า บรรดาประกาศกส่วนใหญ่ตายเพราะอะไร
ใช่ พวกเขาตายเพราะพวกเขาไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ดังนั้นแล้ว หากเราอยากจะเป็นผู้นำทางการศึกษา
เราก็ต้องยอมเจ็บเพื่อจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
การยอมเจ็บ การยอมถูกทำร้ายมันทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงพระวาจาในวันนี้
“คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่
เขาซักเสื้อของเขาจนขาว
ในพระโลหิตของลูกแกะ”
(วิวรณ์ 7:14)
เรากำลังถูกซักให้ขาว จากการถูกเบียดเบียนทุกรูปแบบ
เพื่อเราจะได้เหมาะสมกับการเป็นบุตรของพระเจ้า
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพลังบางอย่างในชีวิตที่เหมือนกำลังจะมอดไปแล้วนั้น
ในสองสามวันที่ผ่านมา
กำลังจะกลับมาลุกโชติช่วงขึ้นใหม่อีกครั้ง
“ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่นข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา
จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก”
(มัทธิว 5:12)
ข้าพเจ้าจะยืนหยัดต่อสู้กับความเลวร้ายในสังคมให้ถึงที่สุด
จะยิ้มรับกับการถูกดูหมิ่น ดูแคลนทุกรูปแบบ
เพราะยิ่งพวกเขาทำร้ายข้าพเจ้ามากเท่าใด
ข้าพเจ้าก็จะได้รับพระเมตตาสงสารมากขึ้นเท่านั้น
“บุคคลเช่นนี้จะได้รับพระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
จะได้รับความเป็นธรรมจากพระเจ้าผู้ทรงช่วยเขาให้รอดพ้น”
(สดุดี 24:5)
เพราะพระองค์ ทรงเคียงข้าง
บนหนทาง ช่างสดใส
แม้ขวากหนาม ตอกย้ำใจ
ท้อทำไม ใจมั่นคง
จะยืนหยัด อย่างมีหวัง
มีพลัง พระเสริมส่ง
ด้วยความเชื่อ ที่มั่นคง
มีพระองค์ ทรงนำทาง
..................................... |