“จงลุกขึ้น  ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”

(ลูกา 17:19)

................................

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อน 10 คน

เมื่อพวกเขาหายจากโรคแล้ว กลับมีเพียง 1 คนเท่านั้นที่กลับมา

เพื่อสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงเมตตารักษาโรคร้าย

โรคเรื้อนในครั้งกระโน้นถือว่าเป็นโรคที่น่ารังเกียจ

ผู้ป่วยนอกจากจะต้องทนทุกข์ทรมานกับตัวโรคร้ายนี้แล้ว

ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกขับออกจากสังคม ชุมชน

และบุคคลอันเป็นที่รัก

ซ้ำร้ายยังต้องป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ถึงโรคอันน่ารังเกียจของตนอีกด้วย

ดังนั้นแล้ว หากข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคเรื้อนในสมัยนั้น

ที่ได้รับการรักษาจนหาย

ข้าพเจ้าจะมีความชื่นชมยินดีมากสักเพียงใด

เสมือนชีวิตที่ตายไปแล้วแต่กลับคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า

แต่น่าแปลกที่มนุษย์เราจะคิดถึงพระเจ้าก็ต่อเมื่อเรากำลังได้รับความทุกข์

และกำลังต้องการความช่วยเหลือที่มนุษย์ด้วยกันไม่อาจจะช่วยได้

และน้อยครั้งที่เมื่อเรามีความสุข สมหวัง  แล้วเราจะกลับมาขอบพระคุณพระเจ้า

เพราะเรากำลังดื่มด่ำกับความสุขที่เราได้รับกับบุคคลที่เราสัมผัสได้

จนลืมคิดถึงพระเจ้าที่เราสัมผัสไม่ได้เมื่อดวงใจเราเต็มล้นด้วยความสุข

ข้าพเจ้าคิดถึงพระวาจาหลายบทตอนที่สอนใจข้าพเจ้าว่า

ทุกครั้งที่เรามีความทุกข์พระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างเสมอ

ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก

จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน

(มัทธิว 11:28)    หรือ

“เมื่อท่านได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ประทานพระหรรษทาน
ทุกประการ ผู้ทรงเรียกท่านให้มารับพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดรในพระคริสตเจ้า
จะทรงฟื้นฟูท่านให้มั่นคง มีกำลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่านไว้

(1 เปโตร 5:10)

ในวันที่ข้าพเจ้าลุ้นกับกระบวนการทำงานวิจัยชิ้นใหญ่

ที่ต้องผ่านกระบวนการตรวจทานหลายขั้นตอนจากทางบัณฑิตวิทยาลัย

ด้วยระยะเวลาที่ถูกกำหนดให้ต้องมีการลุ้นอยู่ตลอดเวลา

เพราะหากเลยกำหนดเวลาแล้วข้าพเจ้าต้องข้ามปีการศึกษา

ที่ควรจะต้องจบไปอีก 1 ปีการศึกษากันทีเดียว

และในขณะที่เพื่อนๆที่เรียนปีเดียวกัน

กำลังทยอยทำเรื่องจบกันไปทีละคนสองคน

ยิ่งกดดันข้าพเจ้ายิ่งนัก

ข้าพเจ้ารู้สึกหวั่นไหว ไม่มั่นคง  เคว้งคว้าง

และพยายามทุกวิถีทางเพื่อปลอบใจตนเอง

ให้เชื่อมั่นในพระเจ้าผู้ทรงทันเวลาเสมอ

หรือไม่เช่นนั้นหากมันจะไม่ทันเวลาก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่พระจัดสรรให้

ดังนั้น ในทุกๆครั้งที่ไม่ว่าจะสุข ทุกข์

ข้าพเจ้าหมั่นฝึกฝนตนเองให้รู้จักที่จะคิดถึงพระเจ้าเสมอ

เพราะในยามทุกข์ที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะช่วยเหลือตนเองได้

ข้าพเจ้ายังร่ำร้องหาพระเมตตาจากองค์พระเจ้า

และในยามสุข ข้าพเจ้าก็ต้องรู้จักขอบพระคุณพระเจ้า

ที่ประทานน้ำทิพย์มาหล่อเลี้ยงดวงใจมนุษย์ผู้อ่อนแอบนโลกใบนี้เช่นกัน

“จงลุกขึ้น  ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”

(ลูกา 17:19)

คนโรคเรื้อน  เปื้อนมลทิน  แสนสิ้นหวัง

หมดพลัง  น่าชิงชัง  เป็นหนักหนา

พระคริสต์ทรง เอื้ออารี  มีเมตตา

รับรักษา  เยียวยา  ด้วยปรานี

คนโรคเรื้อน  สิบคน  ที่พ้นทุกข์

ต่างชื่นสุข  หรรษา  ณ ครานี้

มีเพียงหนึ่ง ระลึกถึง ผู้อารี

กลับมาที่  พระภูมี  มีเมตตา

องค์พระเจ้า  ทรงอวยพร  สุนทรถ้อย

หนึ่งผู้น้อย  เคยต่ำต้อย  แลด้อยค่า

ยังย้อนคืน  ระลึกถึง  พระเมตตา

รู้กลับมา  ขอบพระคุณ  อุ่นพระพร

.....................................