“ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่

ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ

ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ”

(ลูกา 16:25)

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเพิ่งไตร่ตรองเรื่องอุปมาเศรษฐีกับลาซารัส

ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกับเนื้อหาการสอนนักเรียนของข้าพเจ้า

ที่สำคัญคือ หลังจากที่สอนนักเรียนเรื่องการไม่ละเลยต่อกิจการดี

จากเรื่องอุปมาเรื่องนี้แล้ว

น่าแปลกที่เรื่องอุปมาเรื่องนี้ก็ยังดูจะวนเวียนรายล้อมรอบอยู่ใกล้ๆข้าพเจ้า

สัปดาห์นี้อุปมาเรื่องนี้ก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ข้าพเจ้าจึงพยายามศึกษาเรียนรู้ไตร่ตรองข้อคำสอนจากเรื่องนี้

โดยสรุปเป็นข้อคิดสำหรับตนเองขอนำมาแบ่งปันได้ว่า

หนึ่ง เศรษฐีใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งร่ำรวยคิดถึงแต่วิถีชีวิตของตน

ในขณะที่ลาซารัสใช้ชีวิตอย่างยากแค้นแสนเข็ญ

หน้าประตูบ้านเศรษฐี แต่เศรษฐีกลับไม่เคยมองเห็นเลย

เศรษฐีไม่ได้ทำผิดสิ่งใด นอกจากความผิดของการละเลยที่จะรักผู้อื่น

ที่จะละเอียดอ่อนพอที่จะเห็นผู้ทุกข์ยากในสายตาของตัวเอง

สอง  คริสตชนที่มีความเชื่อมากพอ ไม่จำเป็นต้องรอให้คนของสวรรค์

ลงมาทำการอัศจรรย์เพื่อเราจะได้เชื่อและปฏิบัติตาม

แต่ผู้ที่เชื่อโดยไม่ได้เห็นก็เป็นสุข

ในวันที่ข้าพเจ้าถือข้าวของพะรุงพะรัง

ลูกๆวัยรุ่นของข้าพเจ้ากลับเดินขึ้นรถอย่างสบายใจมิได้สนใจข้าพเจ้าเลย

ข้าพเจ้าผิดหวังและตำหนิลูกๆไปหลายข้อ

อันเนื่องมาจาก ข้าพเจ้าคาดหวังว่าลูกๆจะไวต่อการช่วยเหลือผู้อื่น

ตามแบบอย่างพระคริสตเจ้าบ้างไม่มากก็น้อย

โดยทำกิจศรัทธา หรือกิจเมตตาด้วยการกระทำที่ออกมาจากใจ

นั่นคือ สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องพร่ำสอนลูก รวมไปถึงเตือนตนเองด้วยว่า

หนึ่ง เราต้องมีตาเอาไว้มองคนที่กำลังเดือดเนื้อร้อนใจ

สอง เราต้องมีใจที่เมตตาพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

สาม  เราต้องมีมือเอาไว้ทำกิจการดีเพื่อผู้อื่น

และสี่  ทุกสิ่งที่เราทำ ต้องทำด้วยความเต็มใจ และด้วยความรัก

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกขอบคุณพระเจ้า

ที่มอบลูกๆที่น่ารักมาให้ข้าพเจ้า

เพราะทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอบรมตักเตือน พวกเขาไม่เคยโต้เถียง

และไม่เคยโกรธเคืองข้าพเจ้าเลย

โดยเฉพาะลูกสาวคนกลาง ที่มักจะแอบเข้ามาเรียบๆเคียงๆ

ขอนวดให้  และมาขอโทษเบาๆ

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเสียใจ และลูกๆรับรู้ว่าการกระทำของเขาทำให้ข้าพเจ้าเสียใจ

พวกเขาจะพยายามปรับปรุงตัวเอง

บางครั้งอาจจะใช้เวลามากบ้างน้อยบ้าง แต่พวกเขาพร้อมที่จะปรับปรุง

บางที ลูกๆ ก็สอนข้าพเจ้าด้วยกิจการเหล่านี้ เพื่อให้ข้าพเจ้ารู้จักปรับปรุงตนเอง

สุภาพพอที่จะรับคำตำหนิติเตียน หรือคำต่อว่าบ้าง

ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองบ้าง

และไวต่อการช่วยเหลือทุกคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือบ้าง

“องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานสายตาแก่คนตาบอด

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพยุงผู้ที่ล้มให้ลุกขึ้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักผู้ชอบธรรม

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิทักษ์คนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่”

(สดุดี 140:8-9)

เมื่อกล่าวถึงลาซารัสผู้ต่ำต้อย บุคคลผู้ไม่เคยเรียกร้อง

หรือบ่นว่าในความต่ำต้อยของตน

ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงความสุภาพที่จะยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น ในสิ่งที่ตนมี

เพราะทุกครั้งที่เรารู้สึกต่ำต้อย เราจะต้องการการพึ่งพา

เราต้องการพระเจ้า เพราะหากเราไร้พระองค์เราจะกระทำสิ่งใดไม่ได้เลย

ความต่ำต้อยของเราจะเปิดประตูใจของเราให้พระเจ้าเช้ามาประทับอยู่

และเมื่อพระองค์ประทับอยู่ เราจะเป็นบุคคลใหม่ที่เพียบพร้อม

พร้อมไปด้วยความสามารถมากมาย ด้วยพระพรนานาประการ

เราจะสามารถทำสิ่งยากแค้นแสนเข็ญได้ในพระองค์ผู้ทรงประทับอยู่

“ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระเจ้าผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

ผู้ทุกข์ยาก  ตรากตรำ  ทำงานหนัก

แต่ยังรัก  ภักดีองค์   มั่นคงจิต

ย่อมได้รับ  ความบรรเทา ในชีวิต

องค์พระคริสต์  สถิตใน  ใจทุกข์ทน

ผู้ร่ำรวย  ด้วยทรัพย์  ศฤงคาร

แต่มิหว่าน  กิจการดี  ให้มีผล

อีกสายตา  หาแลเห็น  ผู้ยากจน

ดั่งมารปล้น  จนใจ  ในโลกันตร์

เมื่อยังมี  ชีวี  บนโลกกว้าง

จงมองทาง  มองคน  ยากจนนั้น

จงหยิบยื่น  คืนความรัก  ให้แก่กัน

รู้แบ่งปัน  หมั่นทำดี  มีพระพร

.....................................