“ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
(ลูกา 14:27)
กางเขนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของการลงโทษ
บัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรอดพ้นจากความชั่วร้าย
ผ่านทางองค์พระคริสตเจ้า เราได้รับพระเมตตา
แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะร่วมในพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
เพื่อชดเชยความผิดบาปของเราเองนั่นก็คือ
การร่วมส่วนแบกกางเขนของตนบนโลกนี้ติดตามพระคริสตเจ้าไป
ซึ่งในเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคนานาประการ
ที่พร้อมจะลิดรอนกำลัง และสร้างความทดท้อให้กับเราเช่นกัน
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถูกเรียกร้องจากบุคคลที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไหร่
ให้ข้าพเจ้าช่วยงานในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเหนื่อยล้าจากงานหลักมาแล้ว
ข้าพเจ้าช่วยอย่างเสียมิได้ ด้วยความอึดอัดใจ ขุ่นเคืองใจ
และทำโดยมิได้ใส่ใจในรายละเอียดเท่าใดนัก
แต่ในขณะเดียวกัน ในความรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นเดิม
บุคคลอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยงานบางอย่าง
ข้าพเจ้ากลับมีพลังวังชาที่จะกระตือรือร้นกระทำให้
และทำอย่างดีด้วยความตั้งใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้เขารู้สึกถึงความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อเขา
กางเขนที่แบกด้วยความรักเพื่อคนที่เรารัก
เพื่อบ้านแท้ถาวรของเรา จึงไม่น่าจะเป็นภาระของชีวิต
แต่กลับเป็นกางเขนแห่งความรัก ความยากลำบากแห่งชื่นชมยินดี
ที่เราเต็มใจจะแบกและเดินไปให้ถึงปลายทางร่วมกับคนที่รักเรา
พระคริสตเจ้าทรงแบกกางเขนเพื่อเรา
และเรียกร้องให้เราร่วมแบกกางเขนเดินไปพร้อมกับพระองค์
สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระคริสตเจ้าบนเส้นทางชีวิตในโลกนี้
จึงสร้างพลังให้เราสามารถต่อสู้กับความหนักหนาของกางเขนได้
เมื่อเรากางแขนออกโอบกอดกางเขนงามนั้น
เราก็เป็นส่วนหนึ่งของพระคริสตเจ้าอันเป็นที่รักของเรา
กางเขนจึงเป็นความรัก และความรักก็ไม่ใช่ภาระแต่เป็นความยินดี
และเต็มใจที่จะกระทำให้กับผู้ที่เรารัก
ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้เสียแล้วว่าได้ยินมาจากผู้ใด
แต่เป็นเรื่องเล่าที่น่าประทับใจสำหรับข้าพเจ้า
เรื่องมีอยู่ว่า ฤาษีกำลังเดินขึ้นภูเขาเพื่อกลับอารามของตน
ในขณะที่เดินก็รู้สึกว่าการเดินขึ้นเขาช่างเป็นเหนื่อยยากจริงๆ
พลันก็เหลือบไปเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังแบกเด็กชายตัวน้อยอยู่ที่หลัง
และปีนขึ้นภูเขาอย่างมีความสุข
ฤาษีถามเด็กหญิงว่า เจ้าไม่เหนื่อยหรือที่ต้องแบกภาระเช่นนั้นปีนขึ้นเขาด้วย
เด็กหญิงตอบว่า ไม่เหนื่อยเลย เพราะสิ่งที่หนูแบกอยู่ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นน้องชายที่หนูรัก
ดังนั้นแล้ว ทุกสิ่งที่เรากระทำ แม้มันจะยากลำบากน่าทดท้อ
แต่หากเราทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรัก
กางเขนของเราก็จะไม่หนักสำหรับเราอีกต่อไป
“โปรดทรงสอนข้าพเจ้าทั้งหลายให้รู้จักนับวันแห่งชีวิตได้ถูกต้อง
เพื่อจะได้มีจิตใจปรีชาฉลาด”
(สดุดี 90:12)
ขอโปรดให้ข้าพเจ้าตระหนักอยู่เสมอว่า
ชีวิตบนโลกนี้ไม่ได้ยาวนานนัก
ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงควรใช้เวลาทุกวัน ทุกวินาทีอย่างรู้คุณค่า
อย่าให้เส้นทางบนโลกใบนี้ของข้าพเจ้า
ต้องเหินห่างจากพระเจ้าด้วยกิจการที่เลวร้ายที่ข้าพเจ้าเผลอทำผิดพลาดไป
ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักขอบพระคุณในทุกเช้าวันใหม่
ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแก้ไขตัวเองและปฏิบัติภารกิจแห่งรักอย่างเต็มที่
ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักถวายตัวเองก่อนหลับตาลงนอน
เพื่อให้ค่ำคืนแห่งการพักผ่อนเป็นขุมพลังที่พระเจ้าโปรดประทานให้
กางแขนโอบ อ้อมกอด กางเขนนั้น
แล้วนับวัน ก้าวไป ให้รู้ค่า
บนเส้นทาง ชีวิต พร้อมมรรคา
ผู้นำหน้า คือพระคริสต์ พิชิตชัย
จะลุกล้ม ก้มกลิ้ง ก็ไม่หวั่น
ให้น้ำตา อาบชีวัน ไม่หวั่นไหว
ทางขวากหนาว จักขูดขีด ก็ก้าวไป
สู่สวรรค์ อำไพ ใจจะทน
ให้ทุกวัน เป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
นำพระไป สู่ดวงใจ ใครสับสน
ใช้ความรัก หล่อเลี้ยง ดวงกมล
ใช้ความเชื่อ นำรอดพ้น สู่ทรงชัย
..................................... |