“ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เดินทางผ่านมาใกล้ๆ

เห็นเขาก็รู้สึกสงสารจึงเดินเข้าไปหา

เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลและพันผ้าให้”

(ลูกา 10:33-34)

ในอดีตชาวสะมาเรียและชาวยิวมีปัญหาด้านเชื้อชาติกันมาโดยตลอด

เนื่องจากชนชาติสะมาเรียเกิดจากชาวอัสซีเรียที่เข้ามายึดครองอิสราเอลทางตอนเหนือ

และตั้งรกรากอยู่ที่นั้น

ชาวอิสราเอลหรือชาวยิวที่อาศัยทางตอนเหนือแถบนั้น

เมื่อมารู้จักมักคุ้นกันก็เกิดความรักและแต่งงานกัน   

บรรดาชาวสะมาเรียจึงถูกบรรดาชาวยิวรังเกียจ เดียดฉัน ดูถูกและไม่คบค้าสมาคมด้วย

เพราะถือว่าเป็นพวกลูกผสมไม่ได้สืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์โดยตรงจากอับราฮัม

เหมือนชาวยิวแท้ที่จะแต่งงานกันในชนชาติ ญาติพี่น้องของตน   

ส่วนชาวสะมาเรียก็ไม่พอใจชาวยิวที่มาดูถูกเชื้อชาติของตนว่าต่ำต้อยด้อยค่า

กลายเป็นพวกเลือดผสม ทั้งสองชนชาติจึงมีความขัดแย้งกันเรื่อยมา

เรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้า “ชาวสะมาเรียใจดี” สอนใจข้าพเจ้าว่า

ในขณะที่สมณะ ผู้มีหน้าที่ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในพระวิหารและชาวเลวี ผู้ดูแลพระวิหาร

ต่างเป็นชาวยิวที่ถือตนเองว่าเป็นผู้ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดตามหลักพิธีกรรมศาสนา

พวกเขายังไม่กล้าเข้าช่วยเหลือชาวยิวซึ่งเป็นเชื้อชาติเดียวกับตนเอง

ไม่ว่าจะด้วยความกลัวว่าจะเป็นมลทินที่สัมผัสชายชาวยิวที่บาดเจ็บหรือตายแล้วก็ไม่รู้ได้

หรือจะด้วยความเกียจคร้านที่จะเสียเวลาในการเข้าช่วยเหลือ

หรือจะด้วยความกลัวว่าโจรผู้ร้ายยังคงวนเวียนดักปล้นอยู่บริเวณอีก ก็ไม่ทราบได้

แต่เขาทั้งสองก็ได้เดินผ่านชายชาวยิวผู้บาดเจ็บนั้นไปอย่างไม่ใยดี

และพระเยซูเจ้ากลับยกชาวสะมาเรียผู้ถูกดูถูกเรื่องเชื้อชาติจากชาวยิว

ได้แสดงความเมตตาต่อชาวยิวที่ทำร้ายจิตใจเขาตลอดมา 

ข้าพเจ้านึกไปถึงคำสอนของพระเยซูเจ้าที่สอนข้าพเจ้าว่า

ให้รักศัตรู และอวยพรให้ผู้ที่เบียดเบียนด้วยความเมตตา

อภัยด้วยความรักตามแบบอย่างของพระองค์

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อนบ้านข้างเคียงโกรธข้าพเจ้าที่สามีข้าพเจ้า

ไปตัดกิ่งต้นคูณบริเวณทางเท้าหน้าบ้านของเขา

ซึ่งกิ่งคูณนั้นแตกกิ่งละลงมาปกคลุมถึงถนนสาธารณะในหมู่บ้าน

ลำบากต่อรถที่สัญจรไปมาในหมู่บ้าน สามีและข้าพเจ้าจึงคิดจะไปช่วยตัดให้

แต่เนื่องจากเขาไม่อยู่บ้านและข้าพเจ้าก็เห็นว่า

ต้นคูณต้นนี้เป็นต้นไม้บนถนนสาธารณะไม่ได้อยู่ในเขตรั้วบ้านเขา

จึงตัดกิ่งที่โน้มลงบนถนนออกเสียสองสามกิ่ง

พอเพื่อนบ้านหลังนี้กลับมาพวกเขาชี้หน้าด่าเราด้วยถ้อยคำหยาบคาย

พวกเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าไปล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเขา

เขามีสิทธิจะเรียกตำรวจมาจับข้าพเจ้าได้ และกิ่งคูณที่แตกแขนงปกคลุมถนนเขาจะไม่ตัด

เพราะเขาไม่ต้องการให้คนที่อาศัยอยู่ตรงข้ามบ้านของเขามาชะเง้อมองดูครอบครัวเขา

ข้าพเจ้างุนงง ตกใจ และไม่คาดคิดกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมต้องกลัวเพื่อนบ้านรอบข้างมองตน

และที่สำคัญคือเพื่อนบ้านด้านหน้าคือบุคคลที่มีไมตรีจิตกับเขามาโดยตลอด

ทุกๆ เย็นข้าพเจ้าจะพบว่าเขาจะนั่งคุยกันหน้าบ้านอย่างสนิทสนมกลมเกลียว

แต่มาระยะหลังจึงทราบว่าเขาย้ายหนีเพราะสร้างศัตรูไว้ทั่วหมู่บ้านเลยทีเดียว

และเมื่อเพื่อนบ้านใหม่มาซื้อบ้านต่อจากเขา

เพื่อนบ้านใหม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เจ้าของบ้านเก่าค่อนข้างเจ้าเล่ห์ในการขายบ้านมาก

เพื่อนบ้านใหม่บอกข้าพเจ้าว่า เจ้าของบ้านเก่าขายบ้านนี้ให้

เพราะเขาจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับสามีต่างชาติของเขา

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ใส่ใจกับความเป็นมาและความเป็นไปของเขามากนัก

แค่แอบรู้สึกดีใจที่เขาย้ายออกไปเสียที ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องคอยปรับสภาพจิตใจ

เมื่อต้องพบเจอกับพวกเขาอีก

หลังจากที่พวกเขาย้ายออกไป ข้าพเจ้ารู้สึกว่าบ้านดูเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยมากขึ้น

จวบจนวานนี้ข้าพเจ้าแวะเดินเล่นตลาดนัดแห่งหนึ่ง

ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นพ่อค้าแม่ค้าร้านหนึ่งซึ่งหน้าตาคุ้นเคยมาก

เขาคือเพื่อนบ้านเก่าของข้าพเจ้านี่เอง

ข้าพเจ้ารีบเดินออกมาสักระยะหนึ่งเพื่อสร้างพื้นที่ความปลอดภัยให้ตนเอง

พลางคิดในใจว่าดีนะที่วันนี้ข้าพเจ้าสวมผ้าปิดปากกันฝุ่นมาด้วย ทำไมข้าพเจ้าต้องกลัวเขาด้วย?

และในระยะที่คิดว่าปลอดภัย ข้าพเจ้าหันกลับไปมองเพื่อนบ้านเก่าสามีภรรยาคู่นั้น

ซึ่งปูผ้ายางตั้งแผงขายของสัพเพเหระประเภทของมือสอง มือหนึ่ง ปะปนกันไป

ปีศาจร้ายทำงานในใจข้าพเจ้าทันที ข้าพเจ้านินทาพวกเขาอยู่ในใจ

ไหนว่าจะไปอยู่ต่างประเทศไม่ใช่หรือ ไหนว่ามีเงินมีทองไม่ใช่หรือ

และก็กลับมานึกไตร่ตรองว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าบ่อยๆนะ

จะเป็นไปได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ ที่คนที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ แล้วมาเจอกันโดยบังเอิญ

โดยเฉพาะคนที่เราไม่พึงใจจะได้พบเจอ

และถ้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าพบเขาทั้งสองคนกำลังต้องการความช่วยเหลือ

ข้าพเจ้าจะมีพลังของการให้อภัยเพียงพอที่จะยกโทษ และยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเขาได้ไหม

ข้าพเจ้าจะเป็นชาวยิวที่ถือตัวว่าเป็นผู้ชอบธรรม มีศักดิ์ศรีและรังเกียจผู้มีมลทิน

หรือจะเป็นชาวสะมาเรียที่มองข้ามผ่านสายตาดูแคลนและก้มลงไปเช็ดบาดแผลให้ศัตรูได้เล่า

ข้าพเจ้ากลับมาคิดทบทวนตัวเอง และก็รู้ว่า

นี่คงเป็นบทเรียนเริ่มต้นที่พระเป็นเจ้าทรงมอบให้ข้าพเจ้าได้ลองคิดไตร่ตรองตนเองให้ดี

ว่าแท้จริงแล้ว ข้าพเจ้ารักเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะสามารถรักแม้แต่ศัตรู ผู้ไม่น่ารักได้หรือไม่

หรือข้าพเจ้าจะรักเฉพาะคนที่น่ารักกับตน คนที่ยกย่องเชิดชูตน หรือคนที่อุปถัมภ์ค้ำชูตนเล่า

“เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา”พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า

“ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด” ”

(ลูกา 10:37)

.....................................