“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้า

ให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น

และจะทรงนำข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์

ของพระองค์อย่างปลอดภัย”

(2 ทิโมธี 4:18)

ในช่วงชีวิตของเรามนุษย์โลก

บางโอกาสเราก็จะรู้สึกว่าปีนี้เป็นปีทองของเรา

เมื่อทำอะไรก็ดูจะราบรื่น เข้าตากรรมการ

ประสบความสำเร็จไปเสียหมด

แต่บางช่วงก็ดูจะตกต่ำ

เมื่อจะทำการใดก็ดูจะติดขัด กระอักกระอ่วนใจไปเสียทุกกิจการ

แต่จะทำอย่างไรให้ทุกช่วงไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง

กลายเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าของเราได้

เราก็แค่ผ่านมันไปอย่างเข้าใจ และขอบคุณ

ในเวลาสุขสมหวังก็ให้ระลึกไว้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป

เวลาทุกข์ระทมสิ้นหวังก็ให้ระลึกไว้ว่าเดี๋ยวก็ผ่านไป

จะได้ไม่ต้องดีใจเกินตัวหรือเสียใจเกินเหตุ

ฝึกขอบพระคุณพระที่ส่งประสบการณ์ชีวิต

ทั้งดีและร้ายมาให้เราได้เรียนรู้สัมผัสเพื่อเราจะได้แข็งแกร่งขึ้น

ช่วงเวลาขาขึ้นก็อย่าย่ามใจไปว่าเรากำลังรุ่งโรจน์

เพราะช่วงเวลาของความรุ่งโรจน์สอนให้เรารู้จักนบนอบ สุภาพ ถ่อมตน

และช่วงเวลาที่เราอ่อนแรงก็สอนให้เรารู้จักอดทนฝ่าฟันยืนหยัดด้วยความเชื่อ

ทุกช่วงเวลาจึงเป็นช่วงเวลาของพระพรที่เราไม่สามารถเลือกได้

เพราะเราจะยอมรับในทุกช่วงเวลาที่ผ่านเข้ามาอย่างเข้าใจ รู้คุณค่า และขอบคุณ

หลังจากที่ข้าพเจ้าฝึกไตร่ตรองพระวาจาได้ 3 – 4 ปีที่ผ่านมา

เป็นช่วงเวลาที่ปีศาจทำงานหนักมาก

ข้าพเจ้าผิดพลาดพลั้งและเดินหลงทางทั้งๆที่ข้าพเจ้ากำลังไตร่ตรองพระวาจาอยู่

และในสถานการณ์เดียวกัน ข้าพเจ้าก็พยายามทุกครั้งที่จะกลับมาเป็นลูกที่ดี

กลับมาขอโทษพระและเริ่มต้นใหม่

ล้มจนช้ำ ล้มจนแปดเปื้อนหม่นหมอง สกปรก มืดดำ

เมื่อกลับมาไตร่ตรองก็เป็นทุกข์เสียใจกับกิจการเลวร้ายที่กระทำลงไป

ทั้งที่ผิดต่อตนเองและผู้อื่นด้วย

แต่สำคัญยิ่งคือพระเมตตาที่พระเป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้า

ให้โอกาส ให้เวลา ให้การเริ่มต้นใหม่ในการปรับปรุงตนเอง

วานนี้ พี่ท่านหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า

การนำเสนองานวิจัยในงานวิชาการระดับชาติที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

ข้าพเจ้าเล่าว่า พระเมตตาข้าพเจ้ามาก

คณาจารย์ที่เข้ารับฟังข้าพเจ้านำเสนองานวิจัยทุกท่าน

ล้วนใจดีและให้คำแนะนำอย่างอ่อนโยน

เพราะหลังจากที่ข้าพเจ้านำเสนอเรียบร้อย

ข้าพเจ้าก็ย้ายห้องไปฟังเพื่อนนำเสนองานวิจัยอีกห้องหนึ่ง

ซึ่งเพื่อนที่นำเสนองานวิจัยคนนี้ ข้าพเจ้าชื่นชมผลงานของเขามาก

แต่เมื่อพบกับคณาจารย์ในห้องซักถามหลังการนำเสนอของเพื่อนข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระคุณพระเมตตาที่ส่งคณาจารย์ใจดีมาให้ข้าพเจ้าทันที

เพราะหากข้าพเจ้าต้องนำเสนอผลงานในห้องของเพื่อนนี้

ข้าพเจ้าคงนั่งน้ำตาร่วงเป็นแน่แท้

เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าย้อนกลับไปคิดทบทวนถึงพระเมตตามากมาย

ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับข้าพเจ้าและครอบครัว

บุคคลรอบข้างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ล้วนเอื้อเอ็นดูข้าพเจ้า และสมาชิกในครอบครัวข้าพเจ้า

หรือถ้าจะย้อนกลับไปอีก

ก็เป็นเพราะคำภาวนาของบิดามารดาข้าพเจ้าที่ท่านเฝ้าเพียรภาวนาให้ลูกหลาน

ไม่มีสักวันที่ท่านไม่ส่งคำภาวนาให้ลูกหลานของท่าน

“จงลิ้มชิมและดูว่าพระเจ้านั้นประเสริฐ

คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข”

เมื่อชีวิตเราสร้างพลังบวกอยู่เสมอ

เราจะดึงดูดบุคคลรอบข้างที่มีพลังบวกเข้ามารายล้อมตัวเรา

เราจะถูกแวดล้อมไปด้วยคนดีดี สังคมดีดี และสิ่งดีดีที่จะเข้ามาอยู่เสมอ

และสิ่งเลวร้ายก็ไม่เคยทำลายข้าพเจ้าได้เลย

“จงลองลิ้มดูให้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดี

คนที่ลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ย่อมเป็นสุข

บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงยำเกรงพระเจ้าเถิด”

(สดุดี 34:8-10)

เพราะพระองค์   ทรงปกปักษ์  พิทักษ์ข้าฯ

ทรงเยียวยา  รักษาข้าฯ  คราสิ้นหวัง

ทรงนำทาง  ไม่ห่างไกล  ให้พลัง

ทรงฉุดรั้ง  ยั้งข้าฯไว้  ในพระองค์

ข้าฯรายล้อม  พร้อมด้วยพร  แห่งพระเจ้า

ผู้บรรเทา  เฝ้าพิทักษ์  จักไม่หลง

ด้วยหนทาง  แห่งพระเจ้า  ผู้ดำรง

ข้าฯจะคง  เดินทางตรง  สู่ทรงชัย 

.....................................