“นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย
จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”
(1โครินธ์ 11:24)
เช้าวันอาทิตย์ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเตรียมร่วมบูชาขอบพระคุณ
ข้าพเจ้าได้สนทนากับสัตบุรุษหญิงท่านหนึ่ง
ท่านเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้สนใจที่จะมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณเลย
ท่านรู้ว่าตัวเองเป็นคาทอลิก แต่ไม่ได้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมพิธีกรรมนี้สักเท่าไหร่
หรือถ้ามาเข้าร่วมก็ไม่ใคร่อยากจะออกไปรับศีลมหาสนิทนัก
ท่านคิดว่าเป็นคริสตชนก็เพียงพอแล้ว
กิจศรัทธาทำที่ไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นที่วัดวันอาทิตย์
แต่มีบางเหตุการณ์ทำให้ท่านต้องกลับมาเข้าวัดและพิจารณาชีวิตฝ่ายจิตของตนใหม่
หลังจากนั้นท่านก็รู้สึกว่าท่านขาดวัดไม่ได้
และการมาวัดแต่ไม่รับศีลมหาสนิทก็ไม่ได้
เหมือนไปร่วมงานเลี้ยงแต่ไปนั่งมองคนอื่นรับประทานอาหารกัน
ท่านปรับเปลี่ยนชีวิตฝ่ายจิตของตนใหม่
และพบว่าชีวิตที่เคยเย็นชา ไร้ความหมาย
มันกลับมีความหมายมากยิ่งขึ้น
ทั้งกับชีวิตครอบครัว ชีวิตการงาน และสัมพันธภาพกับบุคคลรอบข้าง
ทุกสิ่งทุกอย่างมีสีสันต์และมีคุณค่ากว่าที่เคยเป็นมา
และทุกครั้งหลังเข้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
ท่านรู้สึกเหมือนร่างกายอาบไปด้วยทอง เดินออกไปแบบสว่างไสว
ดูตัวเองมีคุณค่า สะอาดและมีพลังขึ้น พร้อมจะออกไปดำเนินชีวิตอย่างเข้มแข็งต่อไป
ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องเล่าเคล้าประสบการณ์ฝ่ายจิตเช่นนี้
แล้วข้าพเจ้ารู้สึกถึงพระเมตตาอันล้นเหลือสำหรับผู้ที่เข้ามาหาพระองค์
ด้วยความเชื่อ ความไว้ใจ และความรัก
ข้าพเจ้าเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีจิตใจอ่อนแอ พร้อมที่จะพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา
ขาดความเชื่อในวันที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากของชีวิต
ขาดความไว้วางใจในวันที่ต้องต่อสู้กับปัญหาสารพัน
ขาดความรักในวันที่คาดหวังแล้วไม่ได้ดังหวัง
แต่ตราบใดที่ใจของข้าพเจ้ายังยึดติดกับองค์พระคริสตเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่ไถลไปไกลเกินกว่าพระองค์จะทรงเรียกข้าพเจ้ากลับคืนมาได้
ในทุกๆปีของวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า
นักเรียนหญิงประถมตัวน้อยๆ จะสวมชุดสีขาวเหมือนเจ้าสาว
มาโปรยปรายดอกไม้สีสดสวยเพื่อถวายเกียรติแด่พระคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท
ท่ามกลางแดดร้อนระอุ และพื้นที่ร้อนเมื่อยามต้องคุกเข่าลงเพื่อถวายเกียรติ
แด่พระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า
เด็กๆอ่อนโยนและเข้มแข็งพอที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากนี้
ข้าพเจ้าเฝ้ามองด้วยความตื้นตันใจ ชื่นชมและแอบสงสารอยู่เสมอ
ในขณะที่สัตบุรุษหลายคนพยายามยืนหลบอยู่ในที่กำบังแดด ร่มไม้ชายคา
ดวงหน้าที่ชื่นแฉะไปด้วยหยาดเหงื่อ กำลังใช้มือน้อยๆ โปรยปรายดอกไม้ไปเบื้องหน้า
ครูผู้ฝึกสอนบอกกับเด็กๆว่า มองมาที่พระเยซูเจ้านะลูก
เรากำลังโปรยดอกไม้ถวายพระองค์
เรามีส่วนร่วมในงานเลี้ยงฉลองเพราะพระเจ้าทรงเชื้อเชิญเรา
ทรงส่งการ์ด เปิดประตู และเชิญเราเข้ามายังงานฉลองยิ่งใหญ่
เพื่อมารับอาหารอันทรงชีวิตในงานฉลองนี้
แต่ หลายครั้ง สิ่งล่อตาล่อใจระหว่างเส้นทางสู่งานเลี้ยงฉลอง
ก็ทำให้เราเสียเวลาไปเป็นอันมาก
บางที เรากลับไม่เห็นถึงความสำคัญของงานเลี้ยงที่พระคริสตเจ้าทรงเชื้อเชิญเลย
เราไม่เคยเห็นถึงคุณค่าของอาหารบันดาลชีวิตในวันที่เรายังอิ่มหมีพีมันกับอาหารฝ่ายกาย
เราเป็นของโลกอย่างชัดเจน และไม่อยากที่จะแสดงตัวตนว่าเป็นคนของพระเจ้าเท่าใดนัก
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นถึงกิจการของเยาวชนในวันนี้
พิธีบูชาขอบพระคุณกลายเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลา
การเรียนรู้ข้อคำสอนของพระเจ้า กลายเป็นขวากหนามขวางความสุขในชีวิต
พวกเขากำลังแสวงหาเวทีชีวิตของโลกที่จะนำพาพวกเขาให้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของการยอมรับ
พวกเขาทิ้งรากเหง้าของความเชื่อ ความไว้วางใจ และความรักของพระเจ้าไปสิ้น
พวกเขาเชื่อว่าความสำเร็จของพวกเขามาจากความพยายามของพวกเขาเอง
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้โทษที่ตัวเยาวชนเหล่านั้นเสียทีเดียว
หนึ่งในความผิดพลาดนั้น ก็มาจากพื้นฐานการบ่มเพาะของครอบครัว
ว่าให้ความสำคัญต่อสิ่งใดในชีวิต
ถ้าให้ความสำคัญต่อโลก พวกเขาก็จะไม่เห็นความสำคัญของจิตวิญญาณ
“พระเยซูเจ้าทรงต้อนรับฝูงชน
และตรัสสอนเขาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า
ทรงรักษาคนที่ต้องการการบำบัดรักษา”
(ลูกา 9:11)
ขอให้ลูกสุภาพนบนอบพอที่จะเห็นความป่วยไข้ของจิตวิญญาณตัวเอง
เพื่อจะได้รู้จักกลับมารับการรักษาจากพระองค์
“จิตวิญญาณข้ากระหายพระเจ้าดุจดังกวางน้อยกระหายหาน้ำ”
..................................... |