“เรายังภูมิใจในความทุกข์

เพราะรู้ว่าความทุกข์ก่อให้เกิดความพากเพียร

ความพากเพียรก่อนให้เกิดคุณธรรมที่แท้จริง”

(โรม 5:3-4)

ในพระคัมภีร์เล่มแปลบางเล่มกล่าวว่า

“เราก็ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากด้วย

เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความทรหดอดทน

ความทรหดอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้

และการที่เป็นเช่นนั้นทำให้มีความหวัง”

(โรม 5:3-4 THSV)

ข้าพเจ้ามองเห็นพระพรของตนเอง และมองเห็นคุณค่าของตนเอง

หลังจากที่ได้เข้าศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง

ในคอร์สบุคลากรพระคัมภีร์ รุ่นที่ 1 รวมๆ 40 วัน

โดยในสัปดาห์สุดท้ายของการอบรม

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปแสวงบุญ ณ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์

ที่นั่น ข้าพเจ้าได้ทบทวนตัวเอง ถึงการพัฒนาตนเองในด้านจิตวิญญาณ

และพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ามีจุดด้อยมากมาย

ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มา ข้าพเจ้าถูกประเมินคุณค่าในทุกด้านด้อยไปหมด

ไม่ว่าจะเป็นการเรียน  การแสดงออก และการงาน

ข้าพเจ้าเคยหลงทาง คิดทำตัวเหลวไหล

อันเนื่องมาจากการขาดการยอมรับจากคนรอบข้าง

จวบจนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้รู้จักพระเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น

พยายามปรับปรุงตัวเอง และพัฒนาตนเองในทุกรูปแบบ ทั้งกาย วาจา และใจ

พยายามใช้ความอดทนอดกลั้นที่จะทำกิจการทุกอย่างด้วยความรัก

เรียนรู้จักแบบอย่างที่ดีจากเพื่อนพี่น้องรอบข้างเพื่อนำมาปฏิบัติ

และเรียนรู้จักแบบอย่างที่ไม่น่ารักของคนรอบข้างเพื่อนำมาสอนใจตัวเอง

ตลอดระยะเวลาของเส้นทางแห่งความพากเพียรอดทนในชีวิตข้าพเจ้านั้น

ทำให้ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงพระเมตตามากมายที่ทรงประทานให้ข้าพเจ้า

หลังจากจบคอร์สพระคัมภีร์

ข้าพเจ้าถูกส่งตัวไปเรียนคำสอนภาคฤดูร้อนต่ออีก 3 ปี

เป็น 3 ปีที่ข้าพเจ้ามีความสุข มีพระพรเต็มเปี่ยมจริงๆ

ข้าพเจ้าได้รับรางวัลนักศึกษาผู้มีน้ำใจดี

ข้าพเจ้าได้รับรางวัลเรียนดีอันดับที่ 2

รางวัลต่างๆ อาจจะเป็นรางวัลทางโลก แต่มันเป็นกำลังใจที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า

ความพากเพียรอดทนจะทำให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

สำหรับเส้นทางงานของพระเจ้าที่พระองค์ทรงตระเตรียมข้าพเจ้าไว้

หลังจากสำเร็จการศึกษาการเรียนคำสอนภาคฤดูร้อน

ข้าพเจ้าได้รับพระเมตตาให้ศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา

ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าอายุมากเกินไปที่จะทำงาน 5 วัน เรียน 2 วันได้แล้ว

แต่ข้าพเจ้าก็พยายามที่จะเรียนด้วยความตั้งใจอย่างเต็มความสามารถ

ข้าพเจ้าใช้เวลา 2 ปีในการเรียนคอร์สเวิร์ค และทำวิทยานิพนธ์

ด้วยคะแนนเฉลี่ยสะสม 3.89

ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการอวดอ้างความเก่งฉกาจของข้าพเจ้า

เพียงแต่ข้าพเจ้าอยากกล่าวถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่ประทานพระพรพิเศษมาให้ข้าพเจ้า

ได้มีพลังที่จะเรียนรู้ทุกอย่างตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ซื่อสัตย์ต่อไป

เพราะข้าพเจ้าก็ทำสิ่งใดไม่ได้เลยหากปราศจากพระเจ้า

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา

ในจำนวนพี่น้องข้าพเจ้าเป็นคนที่เรียนแย่ที่สุด เกรดเฉลี่ยไม่เคยถึง 3.00

ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงระดับปริญญาตรี

ข้าพเจ้าถูกมองว่าเป็นเด็กอ่อนแอ ขี้แย  ไปไหนก็ต้องติดพี่สาวไปด้วยตลอดเวลา

ขี้ขลาด และไม่กล้าแสดงออกเอาเสียเลย

มาวันนี้ เส้นทางแห่งความพากเพียรอดทน

อันเกิดจากสัมพันธภาพที่ดีระหว่างข้าพเจ้ากับพระเจ้า

ตลอดระยะเวลาแห่งพระพรที่ผ่านมา

ทำให้ข้าพเจ้าถูกเปลี่ยน (Transform) อย่างสิ้นเชิงในทุกกรณี

ข้าพเจ้าเป็นใครหนอ ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงพระเมตตาข้าพเจ้ามากมายเพียงนี้

“เมื่อข้าพเจ้าแหงนมองท้องฟ้า ซึ่งนิ้วพระหัตถ์บรรจงสร้างไว้

มองดูเดือนดูดาวที่พระองค์ทรงประดับไว้อย่างมั่นคง

มนุษย์เป็นใครพระองค์จึงทรงระลึกถึงเขา”

(สดุดี 8:3-4)

พระองค์ทรงตรัสตอบข้าพเจ้าว่า

“พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้ด้อยกว่าทูตสวรรค์เพียงน้อยนิด

ประทานความรุ่งโรจน์และเกียรติยศให้เป็นเสมือนมงกุฎประดับศีรษะ

ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นเจ้านายของผลงานจากฝีพระหัตถ์

และทรงวางสรรพสิ่งไว้ใต้เท้าของเขา”

(สดุดี 8:5-6)

ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงสำนึกได้ว่า ข้าพเจ้าได้รับพระกรุณามากมายเพียงใด

ข้าพเจ้าจึงควรใช้พระพรจากพระเมตตาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง

และเป็นพยานถึงความรักของพระองค์สำหรับคนรอบข้างเสมอ

เพราะพระ เมตตา แห่งรัก

พระองค์ ปกปักษ์ พิทักษ์คุ้ม

หกล้ม  พ่ายแพ้ ทรงโอบอุ้ม

ซาตาน หมายรุม ทรงคุ้มกัน

ข้าฯจะ  พากเพียร  อดทน

ฝึกฝน  ตนไป  ไม่ไหวหวั่น

ตราบเช่น  ที่พระ ทรงธรรม์

เมตตา ข้าฯ นั้น  เสมอมา

.....................................