“เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน”

(1โครินธ์ 12:13)

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้นำเสนองานวิจัยชิ้นหนึ่ง

ซึ่งในการนำเสนองานครั้งนี้ มีเพื่อนร่วมนำเสนอด้วยหลายคน

หนึ่งในหลายคนนั้น เป็นครูรุ่นน้อง

ที่เมื่อเธอรับรู้ว่าต้องนำเสนองานต่อหน้าคณะครูต่างโรงเรียน

เธอเล่าให้ฟังว่าเธอนอนไม่หลับ และเป็นกังวลมาก

เนื่องจากเธอไม่ถนัดงานประเภทนี้เท่าใดนัก

เธอเล่าว่าเธอถนัดงานไร้สาระมากกว่า

ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นงานใดของเธอเป็นงานที่ไร้สาระสักอย่างเลย

ในวันจริงที่ต้องนำเสนองาน

ฉันฟังเธอนำเสนองานด้วยความรู้สึกทึ่งในใจ

ชื่นชมและยินดีกับเธอยิ่งนัก

แม้ข้าพเจ้าจะมองเห็นมือที่สั่นในขณะนำเสนองานของเธอชัดเจน

แต่ทุกคำพูดและกระบวนการในการพูดของเธอไม่ได้แสดงออกถึงความประหม่าเลย

เธอหยอกล้อกับผู้ฟัง ยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดได้น่าฟังทีเดียว

พวกเราได้รับคำชื่นชมจากผู้ฟัง ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีมากสำหรับครูน้อยๆอย่างเรา

ข้าพเจ้ากลับมาทบทวนในช่วงเวลาอันตื่นเต้นนั้น

ข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงพลังงานของพระจิตเจ้าที่เป็นพระพรพิเศษให้เรา

ทั้งกับตัวข้าพเจ้าเองและกับตัวเพื่อนพี่น้องของข้าพเจ้าด้วย

ในสถานการณ์ที่เกินกำลังของเราจะกระทำได้

และในอีกหลายๆสถานการณ์ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในเวลาฉุกละหุก

ในสถานการณ์เช่นนั้น

พระเจ้าจะประทานพระจิตเจ้ามาช่วยเหลือข้าพเจ้าอย่างทันเวลาเสมอ

“จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหลือล้น”

(สดุดี 104:1-2)

ในวันที่อัครสาวกได้รับพระจิตเจ้า พวกท่านเริ่มออกประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้า

สำหรับข้าพเจ้าก็เช่นกัน ในฐานะคริสตชน

ผู้ได้รับพระจิตเจ้าในวันที่ล้างบาปเข้าเป็นคริสตชนนั้น

ข้าพเจ้าก็ได้รับพระคุณ พละกำลัง และพระพรมากมายในการดำเนินชีวิต

สำคัญยิ่งในวันที่ข้าพเจ้ารับศีลกำลัง

ซึ่งเป็นการตอกย้ำพระคุณแห่งพระพรของพระจิตเจ้า

ให้สนิทแนบแน่นในจิตวิญญาณของข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น

เพื่อให้การดำเนินชีวิตต่อไปในเบื้องหน้าของข้าพเจ้านั้น

เป็นการดำเนินชีวิตเพื่อใช้พระพรที่ได้รับมาเป็นพิเศษนี้

ช่วยเหลือเกื้อกูล และบรรเทาความทุกข์ยาก

ของผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือด้วยความรัก

แม้ในวันที่เหมือนจะสิ้นแรงต่อสู้ หวาดกลัวต่ออุปสรรคเบื้องหน้า

แต่พลังของพระจิจตจ้าจะคอยเยียวยาข้าพเจ้าให้ผ่านทุกสถานการณ์ไปได้ด้วยดี

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้แต่งบทกลอนบทหนึ่งขึ้นมา

เป็นบทกลอนที่รวมเอาพระคุณของพระจิต 7 ประการเข้าไว้

เพื่อคอยเตือนใจตัวเองให้รู้จักใช้พระคุณนี้อย่างรู้คุณค่า

เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอย่างดี

.....................................

“พระคุณพระจิต 7 ประการ”

พระคุณ  แห่งพระจิต  สถิตมั่น

ปรีชาญาณ  ครบครัน  หมั่นฝึกฝน

เปี่ยมด้วย สติปัญญา  ในกมล

ความคิดอ่าน  ท่วมท้น  ล้นสิ่งดี

เพิ่มพูน  พละกำลัง  ความกล้าหาญ

มีความรู้  เชี่ยวชาญ  ทุกถิ่นที่

ศรัทธาล้น  ด้วยวิญญาณ  กิจการดี

ยำเกรง  พระภูมี  ที่เมตตา

คือพระคุณ  พระจิต  เจ็ดประการ

ที่พระเจ้า  ประทาน  ด้วยคุณค่า

เป็นพระพร  พิเศษ   ช่วยเยียวยา

เกื้อกูล  รักษา  กันและกัน

.....................................